ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบระหว่างผู้ซื้อบ้านจัดสรรกับผู้พัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรร

ผมมีเวลาว่างเนื่องจากผมไม่มีงานอาชีพประจำแล้วจึงได้ใช้เวลาว่างมาทำการ ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบระหว่างผู้ซื้อบ้านจัดสรรกับผู้พัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรร โดยความตั้งใจตามหลักวิชาการที่ถนัด ซึ่งผมได้นำบทความที่ผมศึกษานี้เพื่อนำเสนอในสังคมสื่อออนไลน์ทั่วไปอยู่แล้ว และผมได้นำบทความของผมอันนี้มาแชร์ในไลน์กลุ่มนี้ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย อาจจะมีประโยชน์กับเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกันด้วย ผมยินดีที่มีเพื่อนบ้านเป็นปัญญาชนอยู่ก็มาก พร้อมทั้งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็หลายท่าน ผมยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นทั้งเสนอแนะหรือคัดค้านหรือเห็นด้วนอย่างไร : วิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบระหว่างผู้ซื้อบ้านจัดสรรกับผู้พัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรรสามารถแบ่งออกเป็นประเด็นสำคัญและแนวทางแก้ไขได้ดังนี้:

1. ข้อบกพร่องทางกฎหมายของผู้พัฒนาโครงการ

  • การไม่จัดตั้งนิติบุคคล (นิติบุคคลหมู่บ้านหรืออาคารชุด):

    • ตามกฎหมายไทย (เช่น ประมวลกฎหมายที่ดิน และ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์) ผู้พัฒนาต้องโอนถ่ายทรัพย์สินส่วนกลางและจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อให้เจ้าของบ้านบริหารจัดการเองภายในระยะเวลาที่กำหนด (มักหลังขายหน่วยได้เกิน 50% หรือหลังโครงการเสร็จสมบูรณ์) หากผู้พัฒนาไม่ปฏิบัติตาม อาจถือว่า ละเมิดสัญญาซื้อขาย หรือ ผิดกฎหมาย

    • โครงการที่ขายหมดแล้วนานกว่า 1 ปี แต่ยังไม่โอนถ่ายทรัพย์สินส่วนกลาง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทางกฎหมายต่อผู้พัฒนา

  • การเก็บค่าสาธารณูปโภคส่วนกลางแบบไม่โปร่งใส:

    • การไม่เปิดเผยรายละเอียดค่าใช้จ่ายและลดบริการโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของบ้าน อาจขัดต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และหลักความสัมพันธ์ตามสัญญา


2. ผลกระทบต่อเจ้าของบ้าน

  • การลดคุณภาพบริการ: การตัดงบประมาณรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก (เช่น สระว่ายน้ำ) ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและมูลค่าทรัพย์สิน

  • ความเสี่ยงด้านความรับผิดชอบ: หากเกิดอุบัติเหตุจากสาธารณูปโภคที่ขาดการดูแล (เช่น สระว่ายน้ำชำรุด) ผู้พัฒนาอาจต้องรับผิดชอบแม้จะโอนโครงการแล้ว

  • การควบรวมโครงการ: การรวม 3 โครงการเข้าด้วยกันโดยไม่ปรึกษาเจ้าของบ้านอาจไม่ยุติธรรม เนื่องจากแต่ละโครงการมีสภาพแวดล้อมและความต้องการต่างกัน


3. ปัญหาความเฉยเมยของเจ้าของบ้าน

  • อุปสรรคหลัก: เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ไม่สนใจเนื่องจากมองว่าไม่กระทบชีวิตประจำวัน หรือขาดความรู้เกี่ยวกับสิทธิ์ของตน ทำให้ผู้พัฒนาผลักภาระและหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ง่าย

  • ความเสี่ยงระยะยาว: การไม่มีนิติบุคคลที่เข้มแข็งอาจนำไปสู่ปัญหาการจัดการ เช่น เงินส่วนกลางรั่วไหล สิ่งอำนวยความสะดวกเสื่อมสภาพ


4. แนวทางแก้ไข

ขั้นตอนเร่งด่วน

  • รวบรวมกลุ่มเจ้าของบ้านที่ตระหนักปัญหา: สร้างกลุ่ม Line หรือ สื่อออนไลน์อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแผนดำเนินการ

  • ตรวจสอบสัญญาซื้อขายและกฎหมาย:

    • ยืนยันเงื่อนไขในสัญญาว่าผู้พัฒนาต้องโอนนิติบุคคลภายในกี่ปี

    • ปรึกษานักกฎหมายหรือหน่วยงานรัฐ (เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์) เพื่อทบทวนสิทธิ์

  • เรียกร้องเอกสารทางการเงิน: ส่งจดหมายลงนามร่วมโดยกลุ่มเจ้าของบ้าน เพื่อขอรายละเอียดการใช้จ่ายค่าส่วนกลางย้อนหลัง

ขั้นตอนระยะกลาง

  • จัดประชุมใหญ่เจ้าของบ้าน:

    • ใช้กลไกตามกฎหมาย (เช่น ประชุมเพื่อจัดตั้งนิติบุคคลชั่วคราว) หากผู้พัฒนาไม่ร่วมมือ

    • เสนอให้เลือกคณะกรรมการเพื่อเจรจากับผู้พัฒนา

  • สื่อสารผ่านช่องทางกฎหมาย:

    • ส่งหนังสือแจ้งเป็นทางการถึงผู้พัฒนา ให้ชี้แจงแผนการโอนนิติบุคคลและปรับปรุงบริการ

    • หากไม่ได้รับความร่วมมือ อาจร้องเรียนต่อ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือฟ้องศาล

ขั้นตอนระยะยาว

  • ผลักดันการจัดตั้งนิติบุคคล:

    • หากผู้พัฒนาล่าช้า เจ้าของบ้านสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อบังคับให้จัดตั้งนิติบุคคลได้

    • ศึกษาความเป็นไปได้ในการควบรวมโครงการ โดยต้องประเมินผลได้-เสียร่วมกัน (เช่น การแบ่งปันทรัพยากร vs ความซับซ้อนในการบริหาร)

  • สร้างระบบตรวจสอบถาวร:

    • เมื่อมีนิติบุคคลแล้ว ต้องกำหนดกติกาให้ชัดเจน เช่น การเปิดเผยงบประมาณ การลงมติเปลี่ยนบริการ


5. ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า: ใช้วิธีการเจรจาและกฎหมายแทนการโต้เถียงตรง เพื่อป้องกันความขัดแย้ง

  • บันทึกหลักฐานทุกครั้ง: เช่น การโทรแจ้งผู้พัฒนา หนังสือร้องเรียน รายงานความเสียหายของสาธารณูปโภค

  • ระวังการถูกแบ่งแยก: ผู้พัฒนาอาจโน้มน้าวให้บางส่วนยอมรับการลดบริการเพื่อลดแรงกดดัน


สรุป

ปัญหานี้เกิดจากความไม่รับผิดชอบของผู้พัฒนาและความขาดความร่วมมือของเจ้าของบ้าน ทางออกที่ยั่งยืนคือ การรวมกลุ่มเจ้าของบ้านเพื่อใช้สิทธิ์ทางกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับสร้างความตระหนักถึงผลกระทบระยะยาว หากดำเนินการเป็นขั้นตอนและมีเอกสารสนับสนุน ก็สามารถบังคับให้ผู้พัฒนาปฏิบัติตามสัญญาและกฎหมายได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)   ถ้าหากจะต้องจัดลำดับใหม่ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มรรคที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการดังกล่าวก็คือ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขาที่เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญาสิกขา สิกขา   ตามความหมายของพุทธนั้น คือ กระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติและได้ประจักษ์แจ้งจริง ส่วน อธิ นั้นหมายถึง ใหญ่ หรือสำคัญ ดังนั้น อธิและสิกขาก็คือการเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปของศีล จิตต (สมาธิ) และปัญญา อันเป็นลักษณะพลวัตของไตรสิกขาดังกล่าว หรือกล่าวโดยย่อก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ องค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการพัฒนายิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อการบรรลุนิพพานนั่นเอง จึงจำแนกได้ดังนี้      ดังนั้นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะยกระดับจิตของมนุษย์ก็คือปัญญาซึ่งเป็นจุดเน้นที่สำคัญที่สุดของพุทธธรรมและเนื่องจากปัญญามีความสำคัญที่สุดกระบวนการสร้างปัญญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งจุดนี้เป็นจุดที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มนุษยนิยม        เพื่อการเข้าใจที่ชัดเจนของกระบวนการยกระดับหรือสร้างเสริมทาง...

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง ลุงโง่ย้ายภูเขา

   มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่า ลุงหยูกง แกตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่หลังภูเขาสองลูกชื่อว่า ไท่เชียงและหวังหวู ภูเขาสองลูกนี้ สูงนับพัน เริน กว้างใหญ่ถึง 700 ตารางลี้ ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังเขาทั้งสองลูกนี้ ไม่สะดวกในการเดินทางเพราะภูเขามาปิดกันความ สะดวกสบาย แต่ด้วยความเคยชินไม่มีใครสนใจต่ออุปสักข้อนี้ ลุงหยูกงแกก็ใช้ชีวิติไปตามปกติเหมือนคนทั่วไป หรือแกจะคิดถึงอุปสักข้อนี้ อยู่บ้างตามนิทานก็ไม่ได้บันทึกไว้ และอีกข้อหนึ่งที่นิทานไม่ได้บันทึกไว้ก็คือไม่เคยปรากฏว่าแกเคยเป็นกำานัน ตามนิทานจึงไม่เรียกแกว่า “ลุง กำานัน  หยูกง”   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งแกเกิดดำาริขึ้นในใจว่า”เราก็ทำาอะไรต่อมิอะไรมาในชีวิติมากมายถูกบ้างผิดบ้างเป็ นธรรมดาของคน สามัญทั่วๆไป แต่ครั้งนี้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่า ไอ้ภูเขาสองลูกนี้ที่ขวางความเจริญของหมู่บ้านเราอยู่นี้ จะต้องขุดย้ายออกไป ไม่ให้เป็นอุปสักขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านต่อไปอีก ว่าแล้วแกก็ชวนลูกหลานและเพื่อนบ้านที่เห็นด้วยกับแกให้มาช่วยกันขุดย้าย ภูเขา ยังมีเพื่อนบ้านของลุงหยูกงคนหนึ่งชื...

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน ( ผศ.ดร. สุปราณี แก้วภิรมย์) เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียมนั้น ปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบที่ค้นพบจะถูกนำมากลั่นเสียก่อน การกลั่นน้ำมันดิบก็คือการย่อยสลายส่วนประกอบของปิโตรเลียมออกเป็นส่วนต่างๆ ที่แตกต่างกันมากมาย เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเตา ถ่านโค้ก ขี้ผึ้ง ยางมะ-ตอย และแก๊สหุงต้ม เป็นต้น   โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) และ โรงกลั่นน้ำมันบริษัทระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยอง และเป็นที่น่าสังเกตว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นดัง...