พระพุทธเจ้าสอนอะไร :
หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า (2 )
๔ ความมสงสัย
ความสงสัย (วิจิกิจฉา) เป็น คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้อหนึ่งในนิวรณ์ ๕ ประการ ซึ่งเป็นข้อขัดขวางต่อความ เข้าใจสัจธรรมและขัดขวางความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ ซึ่งจะขัดขวางความก้าวหน้า ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไรก็ตามความสงสัยมิใช่ บาปตามความหมายในบางศาสนา เพราะไม่มีความเชื่ออย่าง งมงายในพระพุทธศาสนาเลย สิ่งที่ก่อให้เกิดความชั่วร้ายทั้งปวงก็คือ อวิชชา และมิจฉาทิฏฐิ แต่ก็มีความจริงอยู่ว่าจะต้องมีความสงสัยอยู่เมื่อยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่ในการที่จะก้าวหน้าต่อไปได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำจัดความ สงสัยเสีย การที่จะกำจัดความสงสัยเสียได้นั้นบุคคลจะต้องเข้าใจและมองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง
ไม่เป็นการถูกต้องที่จะพูดว่า “ไม่ควรสงสัย” หรือ “ควรเชื่อ” การเพียงแต่พูดว่า “ฉันเชื่อ” ไม่ได้หมายความ ว่าท่านเข้าใจและมองเห็นแล้ว ตัวอย่างเช่นนักเรียนกำาลังคิดแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ข้อหนึ่ง เขาจะมาถึงขั้นตอน หนึ่งซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะก้าวเลยต่อไปจากนั้นได้อย่างไร และเป็นขั้นตอนที่เขาเกิดความสงสัย คลางแคลงใจเสียด้วย ตราบใดที่เขายังมีความสงสัยอยู่นี้ เขาจะไม่ก้าวหน้าไปได้เลย ถ้าเขาอยากจะก้าวหน้าต่อไปก็จะต้องจำกัดความ สงสัยนี้เสียก่อน และวิถีทางในการขจัดความสงสัยนั้นก็มีอยู่ หลายวิธี เพียงแต่พูดว่า “ฉันเชื่อ” หรือ “ฉันไม่ สงสัย” จะแก้ปัญหานั้นไม่ได้อย่างแน่นอน การบังคับตนให้เชื่อและยอมรับเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยปราศจากความ เข้าใจนั้น ก็คือการเสแสร้ง หรือการบิดเบือนซึ่งจะมีก็แต่ในทางการเมืองเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของจิตวิญญาณ หรือสติปัญญาเลย
พระตถาคตทรงมีพระทัยอย่างแรงกล้าอยู่เสมอที่จะกำาจัดความสงสัย พระองค์ได้ทรงขอร้องสาวกของพระองค์ ตั้งหลายครั้งให้ทูลถาม ข้อสงสัย กะพระองค์เสีย แม้ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานเพียง ๒ - ๓ นาที ถ้าหากว่า สาวกเหล่านั้นมีความสงสัยใดๆ เกี่ยวกับคำาสอนของพระองค์อยู่ และเพื่อมิให้เกิดความรู้สึกเสียใจในภายหลังว่า ตนไม่สามารถแก้ไขความสงสัยเหล่านั้นให้แจ่มแจ้งได้ แต่พระสาวกทั้งหลายก็นิ่งเงียบ พระดำารัสที่พระองค์ได้ ตรัสในครั้งนั้นเป็นคำาพูดที่จับใจ พระองค์ทรงตรัสว่า “ถ้าหากเป็นเพราะความเคารพในองค์พระศาสดาจึงทำาให้ เธอไม่กล้าถามสิ่งใดๆ ละก็ ขอให้เธอบอกแก่เพื่อนของเธอเพื่อให้ถามปัญหาแทนเสีย”
7 กุมภาพันธ์ 57
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น