หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
๑.พระพุทธเจ้า
พระนามเดิมของพระพุทธเจ้าคือ สิทธัตถะ โคตมะ พระบิดาของพระองค์มีพระนามว่า สุทโธทนะ โคตมะ เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรศากยะ(อยู่ในประเทศเนปานปัจจุบัน) พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าพระราชินีมายา เจ้าชายสิทธัตถะได้อภีเษกสมรสตั้งแต่อายุยังทรงพระเยาว์ พระชนได้เพียง ๑๖ พรรษากับเจ้าหญิงผู้เลอโฉมพระมามว่า ยโสธรา เจ้าชายหมุ่มสิทธัตถะประทับอยู่ในพระราชวังที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสดวกสบาย แต่โดยไม่คาดคิดเจ้าชายก็ได้ทรงประสพพบเห็นกับความจริงของชีวิตนั้นคือ ความทุกข์ของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงใคร่ครวญเพื่อหาหนทางให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ให้ได้ จนกระทั้งเมื่อหลังการประสูติพระโอรสองค์เดียว พระนามว่า เจ้าชายราหุล ขณะที่พระองค์มีพระชนม์ได้ ๒๙ พรรษา พระองค์จึงได้ตัดสินพระทัยออกจากพระราชอาจักรของพระองค์ ไปทรงผนวชเป็นนักบวช เพื่อแสวงหาหนทางให้มนุษย์พ้นทุกข์
พระนักบวชโคตมะ เสด็จจาริกเรื่อยไปแถบแม่น้ำคงคาเป็นเวลาถึง ๖ ปี ก็ได้พบกับนักบวชที่เรืองนามกลุ่มหนึ่ง พระองค์ทรงศึกษาและปฏิบัติตามวิธีการของนักบวชเหล่านั้น จึงยอมลดพระองค์เข้ารับข้อปฏิบัติแบบทุกกรกิริยาอย่างเคร่งครัด แต่หลักการปฏิบัติตามคำสอนของนักบวชเหล่านัน ไม่ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย จึงได้ทรงละทิ้งหลักปฏิบัติเหล่านั้นทั้งหมด หันมาดำเนินการตามที่พระองค์ทรงคิดค้นด้วยพระองค์เองเรื่อยมาจนกระทั้งราตรีหนึ่ง ขณะที่พระสิทธัตถะ มีพระชนได้ ๓๕ พรรษา พระองค์ทรงประทับนั่งอยู่ภายให้ต้นไม้ต้นหนึ่งชื่อว่าต้นโพธิ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลพุทธคยา(อยู่ในรัฐวิหาร อินเดีย ปัจจุบัน)พระองค์ได้ทรง บรรลุพระโพธิญาณ ชึ่งเป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า “พระพุทธเจ้า”หรือ ผู้ตรัสรู้แล้ว
พระโคตมะพุทธเจ้า ได้ทรงเสด็จไปเทศนาแก่เหล่านักบวชที่พระองค์เคยร่วมปฏิบัติธรรมเมื่อครั้งที่พระองค์จาริกอยู่แถบลุ่มแม่น้ำคงคา การประทานเทศนาครั้งนี้จึงเรียกว่า”ปฐมเทศนาแก่เบญจวัคคีย์ ณ สวนกลางป่าอิสิปตนะ(สารนาถ ใกล้เมืองภาราณสี)” นับแต่นั้นมาพระองค์ได้ทรงสั่งสอนมนุษย์ชายหญิงทุกชนชั้น มีทั้งกษัตริย์ ชาวนา พราหมณ์ จัณฑาล คฤหบดีและขอทาน รวมทั้งนักบวชและพวกโจร พระองค์มิทรงแบงแยกความแตกต่างกันในวรรณะหรือชนชาติ ในบรรดามนุษย์ทั้งชายหญิงที่พระองค์ได้ทรงเทศนาสั่งสอนมาทุกคนนั้น พระองค์ทรงเปิดรับผู้พร้อมที่จะเข้าใจและปฏิบัติตาม นับแต่พระองค์ทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า หรือตรัสรู้แล้วนับเป็นเวลา ๔๕ พรรษาที่พระองค์ได้ทรงเผยแพร่ธรรมะของพระองค์จนเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนได้ ๘๐ พรรษา พระพุทธเจ้าก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพานที่ เมืองกุสินารา(อยู่ในอุตรประเทศในอินเดียปัจจุบัน)
๒.เจตคติของชาวพุทธ
พระพุทธเจ้านับเป็นศาสดาองค์เดียวเท่านั้นในบรรดาศาสนาทั้งหลาย ที่ไม่ทรงอ้างพระองค์ว่าเป็นอะไรอื่นนอกจากมนุษย์ธรรมดาแท้ๆ พระองไม่เคยอ้างเลยว่าพระองค์เป็นอวตารของพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าเสี้ยเอง หรือได้รับบรรดาลใจจากพระเจ้า หรืออำนาจจากภายนอกแต่อย่างใดทั้งสิ้น พระองค์ถือว่าการบรรลุโพธิญาญหรือตรัสรู้บรรลุธรรมและความสำเร็จทั้งหมดของพระองค์เป็นความพยายามบากบั่นและเป็นสติปัญญาของมนุษย์และเฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเองหากเขาปรารถนาอย่างนั้นและทำความเพียรพยายาม
ตามหลักของพระพุทธศาสนามนุษย์ทุกคนเป็นนายของตัวเองไม่มีอำนาจวิเศษหรือกำลังอื่นใดที่จะมาชี้ขาดชะตากรรมองมนุษย์ได้
ดั่งคำตรัสของพระพุทธองค์ว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน ใครอื่นจะสามารถเป็นที่พึ่ง(ของเรา)ได้เล่า”(ขุ.ธ.๒๕/๒๒/๓๖ คาถาที่ ๑๖๐)พระองค์ได้สอนให้ทุกคนเป็นที่พึ่งของตนเองและไม่จำเป็นต้องแสวงหาที่พึ่งจากบุคคลอื่นใดอีกและได้ทรงสอนให้บุคคลแต่ละคนได้พัฒนาตนเองและทำให้ตนเองหลุดพ้นจากการพึ่งผู้อื่น เพราะมนุษย์มีพลังที่จะปลดปล่อยตนเองจากสังโยชน์โดยอาศัยความเพียรและสติปัญญาเฉพาะตัวได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายพึงทำกิจของตนเอง ตถาคตทั้งหลายเพียงแต่บอกทางให้”(ขุ.ธ. ๒๕/๓๐/๕๑ คาถาที่ ๒๗๖)พระองได้ทรงเป็นเพียงผู้ค้นพบและทรงชี้มรรคาไปสู่ความหลุดพ้น(นิพพาน)เท่านั้นแต่เราต้องปฏิบัติตามมรรคานั้นด้วยตัวของเราเอง
พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานอิสรภาพแห่งความคิดแก่สาวกของพระองค์ในมหาปรินิพพานสูตร(ที.ฆ. ๑๐/๙๓/๑๑๘) พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “พระองค์ไม่เคยดำริถึงการบังคับควบคุมคณะสงฆ์เลยและพระองค์ไม่ต้องการที่จะให้คณะสงฆ์ต้องมา
พึ่งพา” และพระองค์ยังตรัสว่า “ไม่มีหลักธรรมวงใน(จำกัดเฉพาะ)ในคำสั่งสอนของพระองค์ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ในกำป้ันของอาจารย์(อาริยมุฏฐิ)” หรือจะพูดได้ว่า ไม่มีสิงใดที่จะซ่อนไว้หรือปิดบัง
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ทุกคนมีเสรีภาพทางความคิด นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีที่อื่นใดในทางประวัติศาสตรของศาสนาทั้งหลาย เสรีภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้ ความหลุดพ้นของมนุษย์ต้องอาศัยการทำให้แจ้งในสัจธรรมด้วยตนเองโดยมิจำเป็นต้องอาศัยการุณยภาพของพระเจ้าหรืออำนาจภายนอกใดๆสำหรับเป็นรางวัลความประพฤติดีงามและเชื่อฟังต่อพระองค์
๓.กาลามสูตร
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปเยือนนิคมแห่งหนึ่ง ชื่อว่า เกสปุตตะ(องฺ. ติก. ๒๐/๕๐๕/๒๔๑) ในแคว้นโกศล นิคมแห่งนี้เป็นที่้รูจักกันในชื่อสามัญทั่วไปว่า กาลามะ เมื่อชาวกาลามะได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับอยู่ในนิคมของพวกเขา ชาวกาลามะทั้งหลายได้มาเฝ้าพระองค์แล้วกราบทูลต่อพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสมณะและพราหมณ์บางพวกที่มาเยือนเกสปุตตะนิคมนี้นักบวช สมณพราหมณ์เหล่านั้นอธิบายและยกย่องคำสอนของตนเองฝ่ายเดียวเท่านั้น ดูถูก ประนามและเหยียดหยามหลักธรรมคำสอนของนักบวช สัมณพราหมณ์เหล่าอื่น ต่อมาก็มีนักบวชเหล่าอื่นมาอีก นักบวชสัมณพราหมณ์เหล่านั้นก็เช่นเดียวกันก็อธิบายและเชิดชูคำสอนของตนฝ่ายเดียวและดูถูกเหยียดหยามประนามคำสอนของนักบวชสัมณพราหมณ์เหล่าอื่น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สำหรับพวกข้าพระองค์นั้นมีความสงสัยและคลางแคคลงใจอยู่เสมอในข้อที่ว่า “ในบรรดาสมณพราหมณ์ผู้น่าเคารพเหล่านั้น ใครกันหนอกล่าวคำสัตย์จริง และพวกไหนกล่าวคำเท็จ”
ลำดับนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงประทานคำแนะนำ แก่กาลามะชนเหล่านั้นว่า “ถูกต้องแล้วชาวกาลามะทั้งหลาย เป็นการสมควรที่เธอทั้งหลายมีความสงสัย มีความคลางแคลงใจ เพราะเป็นเรื่องที่สมควรแก่ความสงสัย ดูกรชาวกาลามะขอให้พวกท่านจงได้พิจารณาดั่งนี้ :
๑. จงอย่าเชื่อเพียงการบอกเล่าสืบต่อกันมา
๒. จงอย่าเชื่อเพียงการสืบทอดเป็นประเพณีกันมา
๓. จงอย่าเชื่อเพียงคำเล่าลือ
๔. จงอย่าเชื่อเพียงการอ้างตำราหรือคำภีร์
๕. จงอย่าเชื่อเพียงอ้างตรรก
๖. จงอย่าเชื่อเพียงการอนุมาณตามนัย
๗. จงอย่าเชื่อเพียงเห็นปรากฏการภายนอก
๘.จงอย่าเชื่อเพียงความชอบใจหรือตรงกับความคิดของตนเอง
๙. จงอย่าเชื่อเพียงเห็นว่าน่าจะเป็นไปได้
๑๐.จงอย่าเชื่อเพียงคิดว่านี้เป็นครูเป็นอาจารย์ของตนเอง
ดูกรกาลามะชนทั้งหลาย แต่เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายรู้ประจักษ์ด้วยตนเองว่าสิ่งทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นอกุศล ผิดพลาด ชั่วร้าย เมื่อนั้นจงละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสียและเมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ประจักษ์ด้วยตนเองว่าสิ่งอันเป็นธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นกุศล ดีงาม เมื่อนั้นจงยอมรับเอาและปฏิบัติตามธรรมเหล่านั้นเถิด
พระพุทธเจ้ายังทรงตรัสไปยิ่งกว่านั้นอีก โดยพระองค์ตรัสบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “สาวกควรจะพิจารณาตรวจสอบแม้แต่องค์พระตถาคตเอง เผื่อว่าสาวกจะได้มีความมั่นใจโดยสมบูรณ์ในคุณค่าที่แท้จริง ของศาสดาที่ตนประพฤติปฏิบัติตาม” (ม.มุ. ๑๒/๕๓๕-๙/๕๔๖-๕๘๐)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น