ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จดหมายถึงเพื่อนๆ ญาติพี่น้องและลูกหลาน



เรียน เพื่อนๆชาว วทต.และเพื่อนๆชาวสงขลาที่เคารพรักทุกท่าน
  ผมเป็นสมาชิกชมรมเพื่อน วทต.และเป็นสมาชิกสมาคมชาวสงขลา ผมได้จัดทำวารสารจดหมายข่าวเพื่อน วทต.เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนสมาชิกชมรมเพื่อน วทต.มาเป็นระยะนอกจากใช้รายงานกิจกรรมของชมรมฯแล้ว ผมยังได้รายงานเหตุการณ์บ้านเมืองให้ได้รับรู้อยู่เป็นประจำเพื่อจะได้รู้เท่าทันกับนักปกครองบ้านครองเมือง และในฐานะที่ผมเองเคยเข้าร่วมต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคมมาตั้งแต่หนุ่มๆไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ,6 ตุลา 19 และเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 35 จนถึงปัจจุบันผมเข้าสู่วัย 6 รอบนักษัตรแล้ว ความเป็นห่วงประเทศชาติยังไม่จางหาย แม้ว่าชีวิตส่วนตัวผมไม่มีปัญหาไม่ว่าด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ตลอดจนด้านจิตวิญญานของความเป็นพุทธ และด้วยอุดมการณ์ที่มันยังฝังแน่นอยู่ในจิตสำนึกแห่งควารักชาติ จึงทำให้ผมทนไม่ได้ที่เห็นนักการเมืองชั่วที่ เข้ามามีอำนาจทำปู้ยี้ปู้ยำกับประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ผมจึงตัดสินใจเข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลชั่วทรราชทุนสามานย์ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ กับมวลมหาประชาชนเพื่อปฏิวัติสังคมไทยไปสู่สังคมใหม่ที่มีสันติสุข ตามแนวทางสันติอหิงสาปราศจากอาวุธ ที่นำโดยกำนันสุเทพจนกว่่าจะได้ชัยชนะ แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยศรัทธาคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลยแม้แต่น้อย แต่ ณ เวลานี้ลุงกำนันสุเทพไม่ใช่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณที่หลายคนเคยเคลือบแคลง  เขาได้พิสูจน์ตัวเองให้มวลมหาประชาชนได้เห็นแจ้งแล้วว่าเขาได้มีดวงตาที่เห็นธรรมและได้บำเพ็ญเจริญสติบรรลุธรรมแห่งปัญญา ที่จะใช้โยนิโสมนสิการในการนำที่ “สัมบูรณ์”ของการปฏิวัติโค่นล้มระบอบทักษิณทุนสามานย์ทรราช
กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส – คณะกรรมการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ ก็ประกาศชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่ ปิดกรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2557เป็นต้นไป เพื่อทวงคืนอำนาจจากระบอบทักษิณ ด้วยวิธีสันติอหิงสาปราศจากอาวุธ  โดยประกาศว่า เป็นการแสดงอารยะขัดขืนครั้งสำคัญที่สุด เพื่อให้รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลล้มเหลวในสายตาของชาวโลก บริหารราชการไม่ได้อีกต่อไป เพราะเราไม่ได้ต้องการให้ไทยเป็นรัฐที่ล้มเหลว แต่ต้องการให้โลกเห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่สามารถปกครองบริหารประเทศอีกต่อไปได้ เพราะประชาชนไม่เอาด้วย ก่อนหน้านี้ มวลชนนัดเคลื่อนไหวครั้งใหญ่หลายครั้ง แต่รัฐบาลและนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังกอดเก้าอี้แน่น ไม่แยแสประชาชน กำนันสุเทพ ได้ย้ำว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ชนะไม่เลิกเด็ดขาด กำนันสุเทพกล่าวตลอดมาว่ามวลมหาประชาชนอันกว้างไพศาลได้เห็นตรงกันว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไร้ความชอบธรรม พวกเขาแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว., ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมโดยทำลายหลักการนิติธรรมและนิติรัฐ ฯลฯ และล่าสุดได้ปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าการแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของส.ว.นั้นผิดรัฐธรรมนูญ ม.68 การปฏิเสธไม่รับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติให้คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาด ผูกพัน รัฐสภา รัฐบาล ศาล และองค์กรของรัฐทั้งปวง จึงเท่ากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์และส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ปฏิเสธคำตัดสินของศาลรัฐธรรนูญ ไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นกบฏ มวลประชามหาชนจึงมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทวงคืนอำนาจรัฐมาจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ปฎิรูปประเทศ ขจัดระบอบทักษิณ ตามความต้องการของมวลมหาประชาชน
“ไม่มียุคใดสมัยใดที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึกว่า บุคคลหนึ่งที่เกิดบนแผ่นดินไทยได้คิดร้ายต่อแผ่นดินเกิด ยุยงปลุกปั่นคนไทยจำนวนมากให้เกลียดชังคนไทยด้วยกัน จนถึงขั้นห้ำหั่นเข่นฆ่าทำร้ายคนไทยด้วยกันเองโดยที่ไม่มีเรื่องบาดหมางส่วนตัวกันมาก่อน ทักษิณ ชินวัตร นำจุดอ่อนของคนไทยที่ด้อยการศึกษามาใช้ปูทางสู่อำนาจ แล้วใช้อำนาจปล้นชาติ รู้ว่าจะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายต้องจ่ายเงินซื้อเสียงบวกกับมาตรการประชานิยม เพื่อทำให้คนรากหญ้าเสพติดและโหยหาอยู่เรื่อยๆ
     
       เมื่อทักษิณใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโกงกินบ้านเมือง ถูกศาลตัดสินลงโทษ ทักษิณหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศ แต่อยากกลับมา
กอบโกยเหยื่อชิ้นโตที่หมายตาไว้นาน เหมือนเปรตที่ตะกุยตะกายกำลังจะคว้าส่วนบุญ จึงหว่านเงินซื้อ ส.ส., ผบ.เหล่าทัพ ตำรวจ ข้าราชการชั้นสูง กกต. อัยการสูงสุด ผู้พิพากษา นักวิชาการผีเปรต รวมทั้งจัดตั้งกลุ่ม นปช. คอยป่วนสร้างสถานการณ์ล้มรัฐบาลอีกฝ่าย ใช้อาวุธลอบทำร้ายผู้ชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ
     
       ไทยไม่มีสงครามแบ่งแยกผิวสี คนไทยทั้งหมดเป็นผิวเหลือง แต่ทักษิณยุยงให้แบ่งแยกด้วยสีเสื้อ ปั่นหัวคนเสื้อแดงเหมือนปั่นจิ้งหรีด เสี้ยมให้มองคนที่ใส่เสื้อสีอื่นว่าเป็นศัตรู ขัดขวางไม่ให้ตนกลับคืนสู่อำนาจ ฉะนั้นต้องใช้กำลังทำร้าย ความแตกแยกทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ ผลเสียตกอยู่กับคนไทยทั้งหมด รวมทั้งคนเสื้อแดง
     
     ในพุทธประวัติ เทวทัตยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเทวทัตประกอบมหันตกรรม ถูกธรณีสูบแล้วยังต้องไปทนทุกข์ในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ สำหรับทักษิณยุยงให้คนไทยแตกแยกถึงขั้นเข่นฆ่าเอาชีวิต คงต้องเสวยกรรมไม่ด้อยกว่าเทวทัตเป็นแน่”(ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ โดย วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน :http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008827)

การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนทวงคืนอำนาจ ขจัดระบอบทักษิณ ปฏิรูปประเทศ เป็นการต่อสู้ที่จำเป็น เป็นการต่อสู้ที่เป็นธรรม เป็นการแก้ปัญหาของประเทศและประชาชนอย่างถูกต้องและทันกาล ก่อนที่ระบอบทักษิณจะนำประเทศไปสู่หายนะ เผด็จการรัฐสภาจะใช้อำนาจแก้รัฐธรรมนูญและออกกฏหมายรวบอำนาจเบ็ดเสร็จมากขึ้น นโยบายเศรษฐกิจประชานิยมและการคอร์รัปชั่นที่ขยายตัวอย่างไร้ขอบเขต กำลังทำให้ระบบเศรษฐกิจประสพวิกฤติร้ายแรง
การรวมตัวของมวลมหาประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ หลังจากได้รวมตัวเรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออกมาหลายครั้งแต่ยิ่งลักษณ์ก็ยังเกาะเก้าอี้อย่างเหนียวแน่น แม้ครั้งหลังเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม จะมีประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ถึง 5 – 6 ล้านคนก็ตาม การดีเดย์ในวันที่ 13 นี้จึงเป็นการใช้มวลชนบังคับทวงคืนอำนาจจากยิ่งลักษณ์ในขั้นสุดท้ายด้วยวิธีสันติอหิงสา
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตกอยู่ในวงล้อมของมวลมหาประชาชนที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น ฟางเส้นสุดท้ายที่พยายามยื้อก็คือพยายามผลักดันเลือกตั้งทั่วไป 2 กุมภาพันธ์ให้ดำเนินต่อไป เพื่อจะได้มีโอกาสชนะการเลือกตั้งและกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งซึ่งประกาศว่าจะดำเนินนโยบายเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่การเลือกตั้งก็ดูจะเลือนลางเพราะสวนกับความรู้สึกของประชาชนที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดึงดันไม่ทำตาม การเลือกตั้งจึงได้รับการต่อต้านจากประชาชนอย่างหนัก มวลชนเสื้อแดงซึ่งประกาศตลอดมาว่าจะเป็นกำลังมวลชนที่คุ้มครองปกป้องรัฐบาลก็ดูอ่อนกำลังอย่างเห็นได้ชัด การชุมนุมก็ประกาศไม่ใส่เสื้อแดง ยิ่งลักษณ์ก็คงเห็นได้ชัดอีกเช่นกันว่าในยามคับขันเช่นนี้ไม่อาจฝากความหวังได้ ขณะนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงฝากความหวังสำคัญไว้ที่ทหารตำรวจ แต่ทหารก็ประกาศชัดเจนว่าจะยืนอยู่กับประเทศไทย ทหารจะไม่ทำร้ายประชาชน ยิ่งลักษณ์จึงฝากความหวังไว้กับตำรวจที่มีนายตำรวจใหญ่จงรักภักดียอมถวายหัวต่อระบอบทักษิณอยู่ไม่กี่คน จึงมีปรากฏการณ์ที่ยิ่งลักษณ์ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจตบรางวัลให้ตำรวจ มีการชุมนุมของตำรวจสร้างความฮึกเหิม ปลุกระดมให้เกลียดชังมวลชนที่ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ตลอด 2 ปีที่บริหารประเทศรัฐบาลยิ่งลักษณ์พยายามสร้างตำรวจให้ใหญ่โต ทั้งตำรวจจริง ตำรวจอาสา และยังมีตำรวจที่เรียกว่า”ตำรวจปลอม” ซี่งน่าห่วงที่มีการลือกันว่าอาจจะมีตำรวจ”ต่างแดน” ปะปนด้วย แต่ขบวนตำรวจแม้จะเรียกว่ามีมาก แต่เมื่อเทียบกับทหารและมวลมหาประชาชนก็น้อยนิดและภายในตำรวจเองก็กำลังแตกแยกและขวัญเสีย มองความหวังที่จะเกาะอำนาจไว้ต่อไปคงริบหรี่ แม้จะมีข่าวว่าทักษิณทุ่มเงินก้อนโตมาอีกก็ตาม ทางเลือกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงมีอยู่ว่าถ้ายอมลาออกก็จะยังคงรักษาชื่อไว้ได้อยู่บ้าง แต่ถ้าแข็งขืนต่อไปก็อาจจะตกชะตากรรมไม่ต่างจากทักษิณพี่ชาย
การต่อสู้ด้วยวิธีสันติอหิงสาที่มีเป้าหมายเพื่อทวงคืนอำนาจรัฐครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกไม่เพียงของประเทศไทยเท่านั้น แต่ก็เป็นรูปแบบที่มีลักษณะพิเศษของไทย ที่ความตื่นตัวของประชาชนอยู่ระดับสูงมากเพราะทนไม่ได้กับความร้ายกาจของระบอบทักษิณจึงออกมาร่วมชุมนุมหลายล้านคนซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ท่าทีของทหารที่มีลักษณะเป็นทหารอาชีพมากขึ้นและตระหนักมากขึ้นว่าการรัฐประหารไม่ใช่ทางออกของประเทศ ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลยิ่งลักษณ์ภายใต้การบงการของทักษิณก็คงจะไม่ยอมพ่ายแพ้ พวกเขายังจะต้องดิ้นรนจนวาระสุดท้าย และที่ต้องระวัง คัดค้าน ต่อต้านเป็นพิเศษก็คือการใช้มวลชนปะทะมวลชน การใช้อันธพาลเข้าก่อกวน ใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามสลายการชุมนุม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องได้รับการตอบโต้อย่างสาสมจากมวลมหาประชาชน
จากข้อมูลที่รายงานข้างต้นทั้งหมดเพื่อเรียนให้เพื่อนๆได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเราและขอกลาบวิงวอนให้เพื่อนที่เคารพรักทุกท่านได้ตระหนักและโปรดได้ร่วมมือร่วมใจสามัคคีกันออกมาช่วยชาติตามเงื่อนของแต่ละท่านอย่างสุดจิตสุดกำลัง สิ่งที่ชี้ขาดของชัยชนะของประชาชนครั้งนี้คือมวลมหาประชาชนที่จะต้องออกมาร่วมให้มากที่สุดและนานที่สุด ด้วยการเตรียมพร้อมระมัดระวังในระดับสูง ขอเรียกร้องผู้รักชาติรักประชาธิปไตยอันกว้างใหญ่ไพศาลเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้อย่างสุดกำลัง
                                                                    ด้วยจิตคารวะ
 blog:oknation.net/blog/werasakawe                        วีระ สระกวี
 facebook:วีระ สระกวี                                      
 Email:werasakawe@gmail.com                                  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง ลุงโง่ย้ายภูเขา

   มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่า ลุงหยูกง แกตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่หลังภูเขาสองลูกชื่อว่า ไท่เชียงและหวังหวู ภูเขาสองลูกนี้ สูงนับพัน เริน กว้างใหญ่ถึง 700 ตารางลี้ ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังเขาทั้งสองลูกนี้ ไม่สะดวกในการเดินทางเพราะภูเขามาปิดกันความ สะดวกสบาย แต่ด้วยความเคยชินไม่มีใครสนใจต่ออุปสักข้อนี้ ลุงหยูกงแกก็ใช้ชีวิติไปตามปกติเหมือนคนทั่วไป หรือแกจะคิดถึงอุปสักข้อนี้ อยู่บ้างตามนิทานก็ไม่ได้บันทึกไว้ และอีกข้อหนึ่งที่นิทานไม่ได้บันทึกไว้ก็คือไม่เคยปรากฏว่าแกเคยเป็นกำานัน ตามนิทานจึงไม่เรียกแกว่า “ลุง กำานัน  หยูกง”   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งแกเกิดดำาริขึ้นในใจว่า”เราก็ทำาอะไรต่อมิอะไรมาในชีวิติมากมายถูกบ้างผิดบ้างเป็ นธรรมดาของคน สามัญทั่วๆไป แต่ครั้งนี้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่า ไอ้ภูเขาสองลูกนี้ที่ขวางความเจริญของหมู่บ้านเราอยู่นี้ จะต้องขุดย้ายออกไป ไม่ให้เป็นอุปสักขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านต่อไปอีก ว่าแล้วแกก็ชวนลูกหลานและเพื่อนบ้านที่เห็นด้วยกับแกให้มาช่วยกันขุดย้าย ภูเขา ยังมีเพื่อนบ้านของลุงหยูกงคนหนึ่งชื่อว่า ลุงจือโช่ว เม

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน ( ผศ.ดร. สุปราณี แก้วภิรมย์) เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียมนั้น ปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบที่ค้นพบจะถูกนำมากลั่นเสียก่อน การกลั่นน้ำมันดิบก็คือการย่อยสลายส่วนประกอบของปิโตรเลียมออกเป็นส่วนต่างๆ ที่แตกต่างกันมากมาย เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเตา ถ่านโค้ก ขี้ผึ้ง ยางมะ-ตอย และแก๊สหุงต้ม เป็นต้น   โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) และ โรงกลั่นน้ำมันบริษัทระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยอง และเป็นที่น่าสังเกตว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นดังกล่า

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)   ถ้าหากจะต้องจัดลำดับใหม่ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มรรคที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการดังกล่าวก็คือ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขาที่เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญาสิกขา สิกขา   ตามความหมายของพุทธนั้น คือ กระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติและได้ประจักษ์แจ้งจริง ส่วน อธิ นั้นหมายถึง ใหญ่ หรือสำคัญ ดังนั้น อธิและสิกขาก็คือการเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปของศีล จิตต (สมาธิ) และปัญญา อันเป็นลักษณะพลวัตของไตรสิกขาดังกล่าว หรือกล่าวโดยย่อก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ องค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการพัฒนายิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อการบรรลุนิพพานนั่นเอง จึงจำแนกได้ดังนี้      ดังนั้นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะยกระดับจิตของมนุษย์ก็คือปัญญาซึ่งเป็นจุดเน้นที่สำคัญที่สุดของพุทธธรรมและเนื่องจากปัญญามีความสำคัญที่สุดกระบวนการสร้างปัญญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งจุดนี้เป็นจุดที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มนุษยนิยม        เพื่อการเข้าใจที่ชัดเจนของกระบวนการยกระดับหรือสร้างเสริมทางปัญญา  จะต้องหันกลับมาศึกษาองค์ประกอบของมนุษ