พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๔)
การอธิบายความสำคัญของปัญญา โดยปฏิจจสมุปบาท
โดยปกติการวิเคราะห์ขันธ์ ๕ นั้น เป็นการวิเคราะห์ในลักษณะแยกส่วนเพื่อให้เข้าใจความหมายของความไม่มีตัวตน หรืออัตตา ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่เมื่อถูกนำไปใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าปัญญามีความสำคัญอย่างไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร รวมทั้งอธิบายว่าเหตุใดปัญญาจึงมิสามารถเกิดขึ้นไดโดยง่าย ได้มีผู้รู้หลายท่านตั้งเป็นข้อสังเกตว่า การวิเคราะห์ด้วยขันธ์ ๕ นั้นโดยลักษณะของการวิเคราะห์ที่แสดงไว้ข้างต้นนั้น เป็นการวิเคราะห์แบบแยกส่วน และเป็นการวิเคราะห์ในสภาวะสถิต (statitic analysis) ซึ่งไม่สอดคล้องกับการวิเคราะห์แบบพุทธ ที่มีลักษณะเป็นองค์รวมและมีความเป็นพลวัต อีกทั้งอาจจะไม่ช่วยให้สามารถเข้าใจได้ชัดเจน เนื่องจากทั้งสติและปัญญานั้นซ่อนอยู่ในสังขารขันธ์ จึงได้มีเสนอว่าควรอธิบายความสำคัญของปัญญาด้วยหลัก ปฏิจจสมุปบาท หรือการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน (dependent origination or conditioned arising) ซึ่งแสดงถึงกระบวนการเกิดดับของทุกข์ มีลักษณะของการอธิบายเป็นองค์รวมและมีความเป็นพลวัต สอดคล้องกับพุทธรรม ซึ่งมีลักษณะเป็นวงจรไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ ดังต่อไปนี้
ในภาพดังกล่าว อวิชา (๑) คือความไม่รู้ หรือความรู้ที่ไม่ถูกต้องนำไปสู่ สังขาร (๒) หรือมีการปรุงแต่งและลงมือกระทำ โดยมีเจตจำนงที่จะให้ได้รับผลตามความรู้ที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว เกิดเป็น วิญญาณ (๓) หรือความตระหนักรู้ เฉพาะที่จะเข้าได้กับเจตนาที่ได้ปรุงแต่งขึ้นเพราะมีวิญญาณเกิดเป็น นามรูป (๔) หรือองค์ประกอบที่เหลือของขันธ์ ๕ จึงเกิดขึ้นได้นั่นคือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ หรือการเกิดตัวตนขึ้นครบถ้วนนั่นเอง เมื่อมีตัวตนพร้อมแล้วก็จะต้องมีช่องทางที่จะติดต่อระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอก (อายตนะภายนอกและอายตนะภายใน)นั่นคือ สฬายตนะ (๕) เมื่อมีช่องทางติดต่อระหว่างโลกภายนอกและโลกภายใน การสัมผัส หรือผัสสะ (๖)ก็จะเกิดขึ้นอันเป็นผลตามมาเกิดความรู้สึก เวทนา (๗) หรือการเสวยอารมณ์ จากนั้นกระบวนธรรมก็จะส่งความรู้ต่อไปถึงสังขาร ถ้าสิ่งที่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ชอบก็จะติดใจอยากได้ อยากมีประสบการณ์เช่นนั้นหรือมากกว่านั้น แต่ถ้าไม่ชอบก็จะหลีกเลี่ยงหรืออยากให้สิ่งเหล่านั้นสูญไป ความอยากดังกล่าวคือ ตัณหา (๘) เมื่อความอยากไม่ถูกระงับหรือกำจัดให้ลดลง ก็จะทวีความรุนแรงเพิ่มมาก เป็นการยึดมั่นถือมั่น หรือ อุปาทาน (๙) เกิดเป็นเจตจำนงที่จะทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งการยึดมั่นถือมั่น เป็นการผลักดันให้เกิดการสืบต่อในขั้นต่อไป หรือเกิดเป็น ภพ (๑๐) การมีภพทำให้พลังขับดันดำเนินต่อไปได้ เกิดผลตามพลังแห่งกรรม หรือ ชาติ (๑๑) สิ่งใดก็ตามเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมีการเสื่อมโทรมและดับไปตามกฎของอนิจจัง นั่นคือ ชรามรณะ (๑๒) และเมื่อสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นจนกระทั้งมีกรรมเป็นผู้กระทำให้บังเกิดผลมีอันเสื่อมสลายไป ก็เกิดโสกะ หรือความโสก (sorrow) ปริเทว การคร่ำครวญหา (lamentation ) ความทุกข์ระทม (pain) ความโทมนัสหรือความเสียใจ(grief) และอุปายาส หรือความคับแค้นใจ (despair) ซึ่งเป็นปัจจัยของอวิชชา คือความไม่รู้จริง มีลักษณะเป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด
ดังนั้น ถ้าหากต้องการจะตัดวงจรดังกล้าวออกไป จึงจำเป็นที่จะต้องแก้ด้วยความจริง หรือ วิชชา ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับปัญญา หรือมิฉะนั้นก็อาจจะใช้ปัญญาไปจัดการที่สังขาร(๒) ให้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง หรือใช้ปัญญาไปจัดการกับเวทนา (๗) หรือตัญหา (๘) หรืออุปาทาน (๙) ถ้าตัดวงจรเหล่านี้ขาดด้วยปัญญาที่จุดใดจุดหนึ่ง ความทุกข์ก็จะหมดไป
จุดเด่นของการอธิบายแบบปฏิจจสมุปบาท ก็คือเป็นการอธิบายในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขต่อกันในลักษณะที่ว่า เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิดมีได้มีความเป็นพลวัตและเน้นความเป็นองค์รวม ในลักษณะที่เป็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง และชี้ให้เห็นถึงบทบาทของปัญญาในการแก้ความไม่รู้ หรืออวิชชา ซึ่งเป็นทั้งสาเหตุและผลจากความทุกข์ แต่ก็ไม่สามารถชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนการวิเคราะห์ขันธ์ ๕ ว่า การเกิดของปัญญานั้นมิใชเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้งาย ดังนั้นการอธิบายโดยปฏิจจสมุปบาทจึงมีทั้งจุดเด๋นและจุดด้อยเช่นกัน และเนื่องจากการอธิบายแบบปฏิจจสมุปบาทนี้อาจจะมีการตีความในลักษณะการอธิบายการมีชาติก่อน ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งไม่สามารถอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายเหมือนขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นการอธิบายที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ผู้เขียนจึงเลือกที่จะอธิบายความสำคัญของปัญญา โดยใช้ขันธ์ ๕ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถอธิบายโดยหลักปฏิจจสมุปบาทได้เช่นกัน ดังที่ได้แสดงมาแล้ว
Cr : ศาสตราจารย์ ดร.อภิชัย พันธเสน ๒๕๔๔ :พุทธเศรษฐศาสตร์ น.๓๖๕ - ๓๖๘
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น