เปรียบเทียบแนวคิดแบบพุทธกับอารยธรรมตะวันตก (ตอนที่ ๑)
อารยธรรมตะวันตกที่มีพัฒนาการมาจากกรีกและศาสนายูดาย และต่อมาได้มีการผสมผสานกับแนวคิดแบบโรมและคริสต์ศาสนา เน้นความเชื่อการมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และความจริงที่สัมบูรณ์ (absolute truth ) ทั้งนี้เพราะเป็นการยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดความรู้ที่แตกต่างกันและอาจให้คำตอบที่ขัดแย้งกัน อาจจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดได้ ความคิดและความเข้าใจเช่นนี้เป็นผลจากการมองทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะที่เป็นภาพนิ่ง (static analysis ) เพราะถ้าหากทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวได้หมด ผลก็จะเป็นอย่างที่ทราบกัน ก็คือจะมีคำตอบที่ต่างกันหรือแม้กระทั้งขัดแย้งกันก็ได้ โดยที่คำตอบทั้งหมดล้วนถูกต้องทั้งสิ้น จุดเน้นการมีคำตอบที่แน่นอนตายตัวเพียงหนึ่งเดียวเป็นจุดอ่อนของความคิดในกระแสอารยธรรมตะวันตก ที่นำไปสู่ตรรกะเบื้องต้นแบบของอริสโตเติลนั่นคือ ตรรกะที่แยกขาวกับดำออกจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่มีตรงกลาง (either-or logic)
การมีตรรกะเช่นนี้ย่อมนำไปสู่ความคิดสุดขั้วซึ่งแบ่งออกเป็นสองค่าย คือ ค่ายหนึ่งเชื่อว่ามนุษย์มีเหตุผล ซึ่งประกอบด้วยอริสโตเติล เซนต์ อไควนัส และนักคิดสำนักสกอลาสติกเป็นส่วนใหญ่ เรื่อยมาจนถึงอดัมสมิธ และแซมมวลสัน อีกค่ายหนึ่งเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผล พระเจ้าเท่านั้นที่มืเหตุผล และถึงแม้ส่วนหนึ่งจะมีความเชื่อรวมกันว่า โดยธรรมชาติมนุษย์มีเหตุผล เพราะมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นภาพสะท้อนของพระเจ้่า ( image of God) สาเหตุที่มนุษย์ไม่มีเหตุผลก็เนื่องจากปฐมบาปหรือการตกตำ่ของมนุษ (the fall of man ) ดังนั้น เมื่อเชื่อในเหตุผลของมนุษย์ไม่ได้ ก็ต้องกลับไปหาพระเจ้าให้ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มนุษย์ตองเพียรทำความดีให้เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า (เซนต์ออกุสติน และ จอห์น คาลวิน) แต่ถ้าหากไม่มีพระเจ้าก็จำเป็นจะต้องให้สถาบันทางสังคมควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ตามข้อเสนอของเพลโต นครรัฐเป็นผู้ออกกฏระเบียบควบคุมความประพฤติของมวลสมาชิก ส่วนในกรณีของคาร์ลมาร์กซ์ นั้จำเป็นจะต้องให้รัฐที่รับใช้เจตจำนงของชนชั้นกรรมาชีพเป็นผู้ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ หรือในสังคมประชาธิปไตยก็ต้องให้ชุมชนกำหนดกฏเกณฑ์กติกา ในสังคมขนาดใหญ่ขึ้นไปก็ต้องมีรบบการคานอำนาจกันเอง ทั้งหมดนี้มาจากความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผล
ส่วนค่ายที่เชื่อว่ามนุษย์มีเหตุผลก็เชื่อต่อไปว่าสิทธิในทรัพย์สินเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์หรือมิฉะนั้นเป็นสิทธิที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานมาให้มนุษย์เมื่อทุกคนมีเหตุผลที่สามารถจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในทางตรงกันข้าม การปล่อยให้ส่วนรวมจัดการทรัพย์สิน ถึงแม้แต่ละคนจะมีประโยชน์ร่วมกัน แต่มิใช่เป็นผลประโยชน์โดยตรง ผลก็คือทำให้การจัดการทรัพย์สินเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วทุกยุคทุกสมัย ส่วนค่ายที่เชื่อว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผลนัันอธิบายว่า สาเหตุของความไม่มีเหตุผลของมนุษย์ส่วนที่สำคัญ เกิดจากการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล อันเป็นเหตุให้มนุษย์เกิดความโลภ ตัองการสะสมโดยไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น ถ้าจะช่วยให้มนุษย์มีเหตุผล มนุษย์ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่สะนมทรัพย์สินส่วนบุคคล จะเห็นได้ว่าฝ่ายหลังนี้มีความเข้าใจประเด็นในเรื่องความโลภ แต่ไม่เข้าใจเหตุผลของการมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลของมนุษย์ดีพอ และเมื่อไม่เข้าใจประเด็นนี้ในขณะที่ยังเน้นการมีทรัพย์สินรวม จึงตัองมีสถาบันที่ทำหน้าทีในการบริหารทรัพย์สินรวม ซึ่งก็เป็นการบริหารทรัพย์สินที่ไม่มีประสิทธิภาพ กลายเป็นจุดอ่อนที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงกันข้ามโจมตี
แต่ถ้าหากเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ตามความเป็นจริงตามแนวพุทธรรม หรือแนวทางที่ทุกคนสามารถเข้าถึงหรือเข้าใจได้ด้วยตนเองแล้วก็จะพบว่ามนุษย์นั้นมีส่วนทั้งมีเหตุผลและไม่มีเหตุผลตามหลักของตรรกะแบบสับสน (fuzzy logic) มนุษย์จะมีเหตุผลก็ต่อเมื่อมีสติมั่นคงอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะยึดสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรับรู้ให้มั่นคง เพื่อให้สัมปชัญญะเข้าทำหน้าที่ตรวจสอบจนสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามสภาพความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น น้่นก็คือการเกิดปัญญา มนุษย์จะมีเหตุผลก็ตอเมื่อมนุษย์มีทั้งสติและปัญญาโดยสมบูรณ์ ดังนั้น แทนการหวังพึ่งสถาบันทางสังคม หรือพระเจ้า ให้ทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ทางออกที่ถูกที่ควรก็คือพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ให้สามรถรู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างให้มากที่สุด เพราะเมื่อมนุษย์มีสติและปัญญาเป็นอย่างดีแล้ว ความตัองการสะสมทรัพย์สินส่วนบุคคลย่อมหมดไปเอง เพราะเห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านั้นมิใช่เป็นแก่นสารของชืวิตแต่ประการใด ดังนั้นประเด็นปัญหาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจึงมิใช่เป็นประเด็นสำค้ญในแนวคิดแบบพุทธ
Cr : ศาสตราจารย์ ดร. อภิชัย พันธเสน (๒๕๔๔ ) พุทธเศรษฐศาสตร์ น.๓๖๘ - ๓๗๗
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น