ค้นหาหนทางแห่งปัญญา
…….ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๐ ...... นั้งครุ่นคิดติดตามความคิดตัวเองอยู่ณะสถานที่อันเงียบสงบที่มีทิวทัศน์อันสวยงามท่ามกลางแมกไม้ภูเขาและสายนำ้แห่งหนึ่ง หวังจะได้เจอตัวเองที่เป็นตัวตนจริงๆ........... หาอย่างไรก็ไม่เจอสักที เจอแต่นายวีระ ก็ไม่ใช้คนอื่นไกลมันก็คือคนเดิมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกฏอนิจจัง อุปมาเหมือนเปลวเที่ยนที่ลุกไหม้แท่งเที่ยนไป เปลวเที่ยนดวงนั้นก็มิใช่เปลวเที่ยนดวงเดิมแล้วแต่มันจะสืบต่อกันมาไม่ขาดสาย…...ชีวิตก็คือการสืบเนื่องต่อกันไปของเบ็ญจขันธ์ คือการร่วมกันและอาศัยกันของร่างกายและจิตใจ พลังที่ทำให้เกิดและอาศัยร่วมกันอยู่นี้ เปลี่ยนแปรงแปรปรวนไปตลอดเวลาอย่างรวดเร็วมากทุกขณะจิตจะมีเกิดและดับตลอดเวลาเป็นสายต่อเนื่องกันตามกฏของอนิจจัง นั่นก็คือ ชรามรณะ เมื่อมีการยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งมีกรรมเป็นผู้กระทำให้บังเกิดผล ก็เกิดความโศก การคร่ำครวญหา ความทุกข์ระทม ความโทมนัส ความคับแค้นใจ เหล่านี้เป็นบ่อเกิดของอวิชชา คือความไม่รู้หรือรู้ไม่จริง ความไม่รูัหรืออวิชชานำไปสู่การปรุงแต่งและลงมือกระทำ โดยมีเจตจำนงที่จะให้ได้รับผลตามความรู้ที่ไม่ถูกต้อง(อวิชชา) จึงเกิดเป็นความรู้ ตามเจตนาที่ได้ปรุงแต่งขึ้น ก่อให้เกิดตัวตนและยึดมั่นในตัวกูของก ู.....ทำอย่างไรจะตัดวงจรเหล่านี้ออกไปได้.....ค้นหาจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงสอนว่า....”ต้องสร้างปัญญาคือกระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติจนได้ประจักษ์ในศีล ในจิตต(สมาธิ)และ ในปัญญา ไปจัดการที่การปรุงแต่งหรือที่ตัณหาหรือที่อุปาทาน ถ้าตัดวงจรเหล่านี้ให้ขาดณะจุดหนึ่งจุดใด ก็สมารถตัดความทุกข์ได้ก็จะมีชีวิตอยู่กับความจริง ความรู้จริงหรือชีวิตที่เกิดปัญญา…….”
…….ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๐ ...... นั้งครุ่นคิดติดตามความคิดตัวเองอยู่ณะสถานที่อันเงียบสงบที่มีทิวทัศน์อันสวยงามท่ามกลางแมกไม้ภูเขาและสายนำ้แห่งหนึ่ง หวังจะได้เจอตัวเองที่เป็นตัวตนจริงๆ........... หาอย่างไรก็ไม่เจอสักที เจอแต่นายวีระ ก็ไม่ใช้คนอื่นไกลมันก็คือคนเดิมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกฏอนิจจัง อุปมาเหมือนเปลวเที่ยนที่ลุกไหม้แท่งเที่ยนไป เปลวเที่ยนดวงนั้นก็มิใช่เปลวเที่ยนดวงเดิมแล้วแต่มันจะสืบต่อกันมาไม่ขาดสาย…...ชีวิตก็คือการสืบเนื่องต่อกันไปของเบ็ญจขันธ์ คือการร่วมกันและอาศัยกันของร่างกายและจิตใจ พลังที่ทำให้เกิดและอาศัยร่วมกันอยู่นี้ เปลี่ยนแปรงแปรปรวนไปตลอดเวลาอย่างรวดเร็วมากทุกขณะจิตจะมีเกิดและดับตลอดเวลาเป็นสายต่อเนื่องกันตามกฏของอนิจจัง นั่นก็คือ ชรามรณะ เมื่อมีการยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งมีกรรมเป็นผู้กระทำให้บังเกิดผล ก็เกิดความโศก การคร่ำครวญหา ความทุกข์ระทม ความโทมนัส ความคับแค้นใจ เหล่านี้เป็นบ่อเกิดของอวิชชา คือความไม่รู้หรือรู้ไม่จริง ความไม่รูัหรืออวิชชานำไปสู่การปรุงแต่งและลงมือกระทำ โดยมีเจตจำนงที่จะให้ได้รับผลตามความรู้ที่ไม่ถูกต้อง(อวิชชา) จึงเกิดเป็นความรู้ ตามเจตนาที่ได้ปรุงแต่งขึ้น ก่อให้เกิดตัวตนและยึดมั่นในตัวกูของก ู.....ทำอย่างไรจะตัดวงจรเหล่านี้ออกไปได้.....ค้นหาจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงสอนว่า....”ต้องสร้างปัญญาคือกระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติจนได้ประจักษ์ในศีล ในจิตต(สมาธิ)และ ในปัญญา ไปจัดการที่การปรุงแต่งหรือที่ตัณหาหรือที่อุปาทาน ถ้าตัดวงจรเหล่านี้ให้ขาดณะจุดหนึ่งจุดใด ก็สมารถตัดความทุกข์ได้ก็จะมีชีวิตอยู่กับความจริง ความรู้จริงหรือชีวิตที่เกิดปัญญา…….”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น