มนุษมีพลังที่จะปลดปล่อยตนเองโดยอาศัยความเพียรและสติปัญญาเฉพาะตัวได้
การบังคับจิตให้สงบอยู่ในห้องแคบๆหรืออยู่ในถ้ำอยู่กลางป่าที่หาบ้านเรือนมนุษย์ไม่มีเพื่อบำเพ็ญตะบะ หรือจะสวดมนต์คาถาอย่างยาว
นานข้านปีข้ามเดือนข้ามวันข้ามชั่วโมงหรือเพียงไม่กี่นาทีเหล่านี้เป็นพิธีกรรมนอกศาสนาพุทธ์ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงแนะนำ ส่วนใหญ่จะเป็นพิํีธีกรรมในศาสนาเทวนิยมหรือพวกฤาษีชีไพรที่พระพุทธเจ้าหรือเจ้าชายสิทธัตถะ แห่งราชวงศ์โตตมะที่พระองค์ได้ขบถหนีออกมาดำเนินการตามวิถีทางชองพระองค์เองจนได้บรรลุพระโพธิญาณตรัสรู้เป้นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
พระพุทธองค์ทรงทราบดีว่าสิ่งที่พระองค์ได้ค้นพบหรือตรัสรู้นั้นมันทวนกระแสคือต่อต้านความต้องการที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงรำพึงว่า ”...สัจธรรม ตถาคตได้รู้แจ้งแล้ว แต่สัจธรรมนั้นจะเข้าใจได้ก็แต่คนที่ฉลาดเท่านั้น เหล่าสัตว์ที่ถูกอวิชชาห่อหุ้ม มืดมนด้วยโลภโกรธหลง ไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย เพราะเป็นธรรมที่สุขุมคัมภีรภาพไหลทวนกระแส ...” ครั้นพระองค์ได้ยกกอดอกบัวขึ้นมาเป็นอุปมากล่าวคือ ในกอบัวกอหนึ่งดอกบัวที่โผล่ขึ้นมาเสมอระดับน้ำก็มี ที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำก็มี ที่ยังจมอยูใต้น้ำก็มี ฉันใด ในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เหล่าสัตว์ย่อมมีสติปัญญาแตกต่างกัน คนที่จะเข้าใจได้คงมีอยู่บ้าง.....”
ในคำสอนของพระองค์ได้ทรงยกย่องฐานะของมนุษย์ว่าเป็นฐานะที่สูงสุด มนุษย์เป็นนายของตนเอง และไม่มีอำนาจวิเศษ หรือกำลังอื่นใดที่จะมาตัดสินชี้ขาดชะตากรรมของมนุษย์ได้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตนใครอื่นจะมาสามารถเป็นที่พึ่งของเราได้เล่า...” พระองค์เป็นเพียงส่งเสริมและกระตุันเตือนให้บุคคลแต่ละคนได้พัฒนาตนเองทำความหลุดพ้นของตนให้สำเร็จ เพราะมนุษย์มีพลังที่ปลดปล่อยตนเองจากกิเลสที่ผูกมัดใจของมนุษย์ให้เห็นผิดเชื่อผิดด้วยอวิชชา (สังโยชน์ ) โดยอาศัยความเพียร และสติปัญญาอันเป็นส่วนเฉพาะตัวได้.......!!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น