ผมเป็นคนที่ไม่ชอบไปหาหมอและไม่ชอบกินยา แต่ผมก็เข้าใจดีว่าร่างกาย /
ชีวิต-จิตใจต้องทะนุถนอมและรักษาไว้ให้ดีที่สุดเพราะมันไม่มีผลเฉพาะส่วนตัวที่เป็นปัจเจกเท่านั้นแต่มันจะส่งผลต่อบริวารลูกหลานใกล้เคียงตลอดจนถึงสังคมโดยรวมด้วย
ผมเข้าใจดีต่อสิ่งนี้จึงปฏิบัติต่อร่างกาย / จิต-ใจ
อย่างเหมาะสมที่สุดตั้งแต่เรื่องอาหารการกินตลอดจนการบริหารร่างกายและบริหารจิต-ใจ
โดยยึดแนวทางการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพื้นฐาน อย่างไรก็ตามในการดำเนินชีวิตที่เป็นจริงก็ไม่ได้ละเลยที่จะเข้าใจต่อความพลวัตของสังคมที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเรื่องเทคโนโลยีหรือเรื่องเศรษฐกิจ
แต่ไม่ใช่จะเสพติดและขาดสติจนกลายเป็นทาสของมัน.......!!!
มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่า ลุงหยูกง แกตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่หลังภูเขาสองลูกชื่อว่า ไท่เชียงและหวังหวู ภูเขาสองลูกนี้ สูงนับพัน เริน กว้างใหญ่ถึง 700 ตารางลี้ ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังเขาทั้งสองลูกนี้ ไม่สะดวกในการเดินทางเพราะภูเขามาปิดกันความ สะดวกสบาย แต่ด้วยความเคยชินไม่มีใครสนใจต่ออุปสักข้อนี้ ลุงหยูกงแกก็ใช้ชีวิติไปตามปกติเหมือนคนทั่วไป หรือแกจะคิดถึงอุปสักข้อนี้ อยู่บ้างตามนิทานก็ไม่ได้บันทึกไว้ และอีกข้อหนึ่งที่นิทานไม่ได้บันทึกไว้ก็คือไม่เคยปรากฏว่าแกเคยเป็นกำานัน ตามนิทานจึงไม่เรียกแกว่า “ลุง กำานัน หยูกง” จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งแกเกิดดำาริขึ้นในใจว่า”เราก็ทำาอะไรต่อมิอะไรมาในชีวิติมากมายถูกบ้างผิดบ้างเป็ นธรรมดาของคน สามัญทั่วๆไป แต่ครั้งนี้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่า ไอ้ภูเขาสองลูกนี้ที่ขวางความเจริญของหมู่บ้านเราอยู่นี้ จะต้องขุดย้ายออกไป ไม่ให้เป็นอุปสักขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านต่อไปอีก ว่าแล้วแกก็ชวนลูกหลานและเพื่อนบ้านที่เห็นด้วยกับแกให้มาช่วยกันขุดย้าย ภูเขา ยังมีเพื่อนบ้านของลุงหยูกงคนหนึ่งชื่อว่า ลุงจือโช่ว เม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น