.......กฎของกรรมในทางพระพุทธศาสนามีความหมายเฉพาะการกระทำที่มีเจตนาเท่านั้น
หาได้หมายเอาการกระทำทั่วๆ ไปไม่ ทั้งไม่ใช้เป็นวิบากของกรรมที่อย่างที่คนส่วนมากเข้าใจด้วยความหมายของกรรมในพระพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงผลของกรรมเลย
เพราะผลของกรรมนั้นเป็นตัววิบาก (กมฺมผล หรือ กมฺมวิปาก)
หาได้หมายเอาการกระทำทั่วๆ ไปไม่ ทั้งไม่ใช้เป็นวิบากของกรรมที่อย่างที่คนส่วนมากเข้าใจด้วยความหมายของกรรมในพระพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงผลของกรรมเลย
เพราะผลของกรรมนั้นเป็นตัววิบาก (กมฺมผล หรือ กมฺมวิปาก)
เจตนาอาจจะดีหรือเลวก็ได้
(กมฺม) ทำกรรมดี (กุศล)
ย่อมได้รับผลดีทำกรรมชั่ว (อกุศล) ย่อมได้รับผลชั่ว ตัณหา (ความทะนายอยาก) เจตนา (ความจงใจ) กรรม
(การกระทำ) ไม่ว่าดีหรือเลวก็ตามย่อมมีผลเสมอ ทำให้เกิดพลังสืบต่อเนื่องกันไป
ในแนวทางที่ดีหรือเลว (ตามกรรมที่ทำนั้น) และไม่ว่าดีหรือเลวย่อมสัมพันธ์กันไป ตลอดเป็นสายแบบวัฏจักร (สงฺสาร) สำหรับพระอรหันต์นั้นแม้ท่านยังทำโน้นทำนี้อยู่ก็ไม่จัดว่าเป็นกรรมเพราะท่านพ้นจากความยึดมั่นในตัวตน
พ้นจากตัณหา (ความทะยานอยาก) ตลอดจนกิเลสและอาสวะทั้งหลายโดยสิ้นเชิงแล้ว
(กิเลสาสวธรรม) จึงไม่มีภพชาติใหม่อีกต่อไป
(กมฺม) ทำกรรมดี (กุศล)
ย่อมได้รับผลดีทำกรรมชั่ว (อกุศล) ย่อมได้รับผลชั่ว ตัณหา (ความทะนายอยาก) เจตนา (ความจงใจ) กรรม
(การกระทำ) ไม่ว่าดีหรือเลวก็ตามย่อมมีผลเสมอ ทำให้เกิดพลังสืบต่อเนื่องกันไป
ในแนวทางที่ดีหรือเลว (ตามกรรมที่ทำนั้น) และไม่ว่าดีหรือเลวย่อมสัมพันธ์กันไป ตลอดเป็นสายแบบวัฏจักร (สงฺสาร) สำหรับพระอรหันต์นั้นแม้ท่านยังทำโน้นทำนี้อยู่ก็ไม่จัดว่าเป็นกรรมเพราะท่านพ้นจากความยึดมั่นในตัวตน
พ้นจากตัณหา (ความทะยานอยาก) ตลอดจนกิเลสและอาสวะทั้งหลายโดยสิ้นเชิงแล้ว
(กิเลสาสวธรรม) จึงไม่มีภพชาติใหม่อีกต่อไป
กฎของกรรมนี้ไม่ควรสับสนคลุมเครือ
กล่าวได้ว่าเป็นการพิพากษาที่ยุติธรรมและเที่ยงตรงที่สุดหรือจะกล่าวว่าเป็นการให้รางวัลและลงโทษที่ยุติธรรมจริงๆ
ก็ได้ ความเห็นเรื่องความยุติธรรมการให้รางวัล และการลงโทษนี้เกิดจากการเชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้าทำหน้าที่พิพากษาออกกฎหมายและตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด
คำว่าความยุติธรรมมีความหมายกำกวมและไม่ปลอดภัยมีอันตรายมากกว่าการกระทำความดีต่อมนุษยชาติ
เรื่องกฎของกรรมเป็นกฎของเหตุผล หรือกฎของการกระทำและผลของการกระทำตามกฎธรรมชาติซึ่งไม่เกี่ยวกันกับการพิพากษา
การให้รางวัลและการลงโทษแต่อย่างใดเพราะการกระทำที่มีความจงใจทุกครั้งย่อมมีผลตอบเสมอ
ถ้าหากทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว มิใช่เป็นการพิพากษาการให้รางวัลหรือการลงโทษจากผู้ใด
หรือจากอำนาจใดๆ ในการกระทำของตน แต่เป็นกฎของการกระทำตามธรรมชาติของมันเองเรื่องนี้ไม่ยากแก่การที่จะเข้าใจเลย
แต่ที่ยากนั้นตามกฎของกรรมก็คือว่าวิบากกรรมของการกระทำที่มีเจตนานี้ทำให้มีผลแสดงออกมาทั้งในชีวิตปัจจุบัน
และหลังจากตายไปแล้ว......
กล่าวได้ว่าเป็นการพิพากษาที่ยุติธรรมและเที่ยงตรงที่สุดหรือจะกล่าวว่าเป็นการให้รางวัลและลงโทษที่ยุติธรรมจริงๆ
ก็ได้ ความเห็นเรื่องความยุติธรรมการให้รางวัล และการลงโทษนี้เกิดจากการเชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้าทำหน้าที่พิพากษาออกกฎหมายและตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด
คำว่าความยุติธรรมมีความหมายกำกวมและไม่ปลอดภัยมีอันตรายมากกว่าการกระทำความดีต่อมนุษยชาติ
เรื่องกฎของกรรมเป็นกฎของเหตุผล หรือกฎของการกระทำและผลของการกระทำตามกฎธรรมชาติซึ่งไม่เกี่ยวกันกับการพิพากษา
การให้รางวัลและการลงโทษแต่อย่างใดเพราะการกระทำที่มีความจงใจทุกครั้งย่อมมีผลตอบเสมอ
ถ้าหากทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว มิใช่เป็นการพิพากษาการให้รางวัลหรือการลงโทษจากผู้ใด
หรือจากอำนาจใดๆ ในการกระทำของตน แต่เป็นกฎของการกระทำตามธรรมชาติของมันเองเรื่องนี้ไม่ยากแก่การที่จะเข้าใจเลย
แต่ที่ยากนั้นตามกฎของกรรมก็คือว่าวิบากกรรมของการกระทำที่มีเจตนานี้ทำให้มีผลแสดงออกมาทั้งในชีวิตปัจจุบัน
และหลังจากตายไปแล้ว......
(คัดลอกจากหนังสือ:พระพุทธเจ้าสอนอะไร
ของ พระ ดร.ดับลิว ราหุลเถระ แปลโดย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๒๒ หน้า ๕๙ – ๖๐ )
ของ พระ ดร.ดับลิว ราหุลเถระ แปลโดย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๒๒ หน้า ๕๙ – ๖๐ )
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น