ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน

พระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน

.

     มีบางคนเชื่อว่า พระพุทธศาสนาเป็นระบบที่สูงส่งเกินไปจนบุรุษและสตรีธรรมดาไม่อาจปฏิบัติตามได้ ในชีวิตประจำวันของพวกเรา และมีความเชื่อว่าถ้าปรารถนาจะเป็นชาวพุทธจริงๆ แล้ว จะต้องปลีกตนเองจากสังคมโลกเข้าไปอยู่ในวัด หรือสถานที่ที่สงบ

   นี้เป็นความคิดที่ผิดอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากขาดความเข้าใจต่อคำสอนของพระพุทธองค์แท้ๆ ทีเดียว ประชาชนรีบมุ่งไปสู่การสรุปที่รวดเร็วและผิด อันเป็นผลจากการฟังและการอ่านแบบลวกๆ ของพวกเขาต่อข้อความบางอย่างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของนักเรียนบางคนผู้ไม่เข้าใจความจริงทุกแง่มุม แต่ให้ทัศนะเกี่ยวกับพุทธศาสนาเพียงบางแห่งอย่างมีอคติ คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะในวัดเท่านั้น แต่เพื่อคฤหัสถ์ชนทั้งชายหญิงผู้มีชีวิตอยู่ตามบ้านกับครอบครัวของพวกเขา อริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นแนวทางดำเนินชีวิตของชาวพุทธ มีความหมายสำหรับทุกคนไม่แตกต่างกันเลย

                                ธรรมะกับการครองเรือน

   ส่วนใหญ่ของประชาชนในโลก ไม่อาจจะบวชเป็นพระ หรือปลีกตนเองไปอยู่ในถ้ำหรือป่าเขาลำเนาไพร อย่างไรก็ดี หากพุทธศาสนาที่ประเสริฐและบริสุทธิ์จะเป็นเช่นนั้น (อย่างที่บางคนเข้าใจ)พุทธศาสนาก็เป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับมวลมนุษย์ ถ้าเขาไม่อาจจะปฏิบัติในชีวิตประจำวันในโลกนี้ได้ แต่ถ้าท่านเข้าใจหลักของพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง (ไม่ใช่เพียงตัวอักษร) ท่านสามารถจะประพฤติและปฏิบัติตามอย่างมั่นใจ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดานี่เอง

     อาจจะมีบางคนที่พบว่า เป็นง่ายกว่าและสะดวกกว่าที่จะปฏิบัติตามพุทธธรรม ถ้าเขา

ดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่อันห่างไกล ตัดขาดออกจากสังคมกับคนอื่น ๆ คนเหล่าอื่นอาจพบว่า การปลีกตนเองออกอย่างนั้น ทำให้ชีวิตทั้งด้านรางกายและจิตใจทื่อและตกต่ำ และจากผลนั้นเอง มันอาจจะไม่นำมาซึ่งความเจริญงอกงามแห่งชีวิตทั้งทางจิตใจและสติปัญญา

    การสละโลก (บรรพชา) อย่างแท้จริง ไม่ได้หมายความว่าหนีออกไปจากโลกทางด้านร่างกาย (ภายนอก) พระสารีบุตรอัครสาวกของพระพุทธเจ้า กล่าวว่า คนๆหนึ่งอาจจะอยู่ในป่า อุทิศตนเองต่อการปฏิบัติแบบนักบวช แต่ (จิตใจ) อาจเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์และอาสวะ อีกคนหนึ่ง อาจจะอยู่ในบ้านหรือในเมือง มิได้ปฏิบัติระเบียบวินัยแบบนักพรต แต่จิตใจของเขาอาจจะบริสุทธิ์และอิสระจากกิเลสาสวะ ในบรรดาสองคนนี้พระสารีบุตรกล่าวว่า ผู้ที่ดำรงชีวิตแบบบริสุทธิ์ในบ้านหรือในเมือง เป็นผู้วิเศษแน่นอนกว่า และยิ่งใหญ่กว่า ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในป่า(  ม.มู. ๑๒/๕๓–๗๒/๔๒ )

ความเชื่อพื้นๆที่ว่า การจะฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์บุคคลจะต้องปลีกตัวเองจากชีวิตที่เป็นอยู่ เป็นความเชื่อที่ผิด ความเชื่อเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ต่อต้านส่วนลึกต่อการปฏิบัติตามคำสอนอย่างแท้จริง มีหลักฐานหลายแห่งในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา (ที่แสดงว่า) บุรุษและสตรีที่ดำรงชีวิตแบบธรรมดาในครอบครัวตามปกติ ผู้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้อย่างประสบผลสำเร็จ และทำพระนิพพานให้แจ้งได้ วัจฉโคตตะอาชีวก (ผู้ซึ่งที่เรากล่าวถึงในบทที่ว่าด้วยเรื่องอนัตตา) ครั้งหนึ่งถามพระพุทธเจ้าอย่างตรงๆว่า มีบุรุษสตรีที่อยู่ครองเรือน ซึ่งปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างประสบผลสำเร็จ และบรรลุถึงมรรคผลมีหรือไม่ พระพุทธองค์ทรงเน้นอย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่เพียงหนึ่งคนหรือสองคน ไม่ใช่เพียงร้อยคน สองร้อยคน หรือห้าร้อยคน แต่มากต่อมาก ที่บุรุษและสตรีที่ครองเรือนอยู่ ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์อย่างมีผลและบรรลุถึงสภาพทางจิตอันสูงส่ง ( ม.ม. ๑๓/๒๕๖ )

   เหมาะทีเดียวสำหรับประชาชนธรรมดา ที่จะดำรงชีวิตอันหลีกเร้นในสถานที่อันสงัดจากเสียงอึกทึกและรบกวน แต่มันเป็นสิ่งที่ที่ค่าควรแก่การยกย่องและเชิดชูกว่า ที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ในระหว่างเพื่อนมนุษย์ ด้วยการช่วยเหลือเขา ทำตนเป็นผู้บริการพวกเขา บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์ในบางกรณีสำหรับบุคคลที่จะมีชีวิตแบบหลีกเร้น   สักระยะหนึ่งเพื่อที่จะพิสูจน์จิตใจและนิสัยของเขา ในฐานะเป็นการฝึกตามศีล สมาธิ และปัญญา ขั้นพื้นฐาน เพื่อที่จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะออกมาสู่สังคมในภายหลัง และช่วยเหลือคนอื่นๆ แต่ถ้าบุคคลดำรงชีวิตของเขาทั้งหมดอยู่ในความโดดเดี่ยว คิดถึงเฉพาะความสุขและทางรอดของตัวเองเท่านั้น โดยปราศจากการคำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ของเขา นี้ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความเมตตากรุณาและการช่วยเหลือคนอื่นอย่างแท้จริง

บัดนี้อาจมีบางคนถามว่า ถ้าคนธรรมดาอาจปฏิบัติตามพุทธศาสนาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในบ้านในเรือน แล้วทำไมจะต้องมี พระสงฆ์ หรือหมู่แห่งพระภิกษุ ซึ่งตั้งขึ้นโดยพระพุทธองค์ด้วยละ? พระสงฆ์เอื้ออำนวยโอกาสสำหรับผู้ที่ปรารถนาที่จะอุทิศชีวิตของตน ไม่เพียงแต่เจริญสมาธิและปัญญาของตนเองเท่านั้น แต่เพื่อรับใช้คนอื่นด้วย ผู้ที่ครองเรือนไม่สามารถจะมุ่งอุทิศชีวิตทั้งหมดของตนเพื่อรับใช้ผู้อื่น เหมือนพระสงฆ์ซึ่งไม่มีครอบครัวที่จะต้องรับผิดชอบ หรือความผูกพันแบบโลกๆอื่นๆจึงอยู่ในฐานะที่จะอุทิศชีวิตทั้งหมดของเขา “เพื่อเกื้อกูลและความสุขของพหูชน” ดังที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ นี้เป็นเครื่องชี้เหตุผลในแนวประวัติศาสตร์ที่ว่า วัดทางพุทธศาสนาไม่ใช่เป็นเพียงศูนย์กลางทางจิตใจเท่านั้นแต่เป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษาและวัฒนธรรมด้วย

คัดจาก พระพุทธเจ้าสอนอะไร  : What the Buddha Taught by Walpola Rahula.

แปลโดย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง ลุงโง่ย้ายภูเขา

   มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่า ลุงหยูกง แกตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่หลังภูเขาสองลูกชื่อว่า ไท่เชียงและหวังหวู ภูเขาสองลูกนี้ สูงนับพัน เริน กว้างใหญ่ถึง 700 ตารางลี้ ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังเขาทั้งสองลูกนี้ ไม่สะดวกในการเดินทางเพราะภูเขามาปิดกันความ สะดวกสบาย แต่ด้วยความเคยชินไม่มีใครสนใจต่ออุปสักข้อนี้ ลุงหยูกงแกก็ใช้ชีวิติไปตามปกติเหมือนคนทั่วไป หรือแกจะคิดถึงอุปสักข้อนี้ อยู่บ้างตามนิทานก็ไม่ได้บันทึกไว้ และอีกข้อหนึ่งที่นิทานไม่ได้บันทึกไว้ก็คือไม่เคยปรากฏว่าแกเคยเป็นกำานัน ตามนิทานจึงไม่เรียกแกว่า “ลุง กำานัน  หยูกง”   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งแกเกิดดำาริขึ้นในใจว่า”เราก็ทำาอะไรต่อมิอะไรมาในชีวิติมากมายถูกบ้างผิดบ้างเป็ นธรรมดาของคน สามัญทั่วๆไป แต่ครั้งนี้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่า ไอ้ภูเขาสองลูกนี้ที่ขวางความเจริญของหมู่บ้านเราอยู่นี้ จะต้องขุดย้ายออกไป ไม่ให้เป็นอุปสักขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านต่อไปอีก ว่าแล้วแกก็ชวนลูกหลานและเพื่อนบ้านที่เห็นด้วยกับแกให้มาช่วยกันขุดย้าย ภูเขา ยังมีเพื่อนบ้านของลุงหยูกงคนหนึ่งชื่อว่า ลุงจือโช่ว เม

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)   ถ้าหากจะต้องจัดลำดับใหม่ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มรรคที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการดังกล่าวก็คือ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขาที่เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญาสิกขา สิกขา   ตามความหมายของพุทธนั้น คือ กระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติและได้ประจักษ์แจ้งจริง ส่วน อธิ นั้นหมายถึง ใหญ่ หรือสำคัญ ดังนั้น อธิและสิกขาก็คือการเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปของศีล จิตต (สมาธิ) และปัญญา อันเป็นลักษณะพลวัตของไตรสิกขาดังกล่าว หรือกล่าวโดยย่อก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ องค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการพัฒนายิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อการบรรลุนิพพานนั่นเอง จึงจำแนกได้ดังนี้      ดังนั้นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะยกระดับจิตของมนุษย์ก็คือปัญญาซึ่งเป็นจุดเน้นที่สำคัญที่สุดของพุทธธรรมและเนื่องจากปัญญามีความสำคัญที่สุดกระบวนการสร้างปัญญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งจุดนี้เป็นจุดที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มนุษยนิยม        เพื่อการเข้าใจที่ชัดเจนของกระบวนการยกระดับหรือสร้างเสริมทางปัญญา  จะต้องหันกลับมาศึกษาองค์ประกอบของมนุษ

ส.ค.ศ.๒๕๖๗

                                      https://www.youtube.com/playlist?list=PLc48HzMCk2P72s5voNYW-U00myYCC3Bab