เจตนคติของชาวพุทธ
(THE BUDDAIST ATTITUDE OF MIND)
.
ในบรรดาศาสดาแห่งศาสนาทั้งหลายเหล่านั้น พระพุทธเจ้า (ถ้ายอมให้เราเรียกพระองค์ว่าเป็นศาสดาผู้ตั้งศาสนาตามความหมายของศัพท์ที่เข้าใจกัน) ก็เป็นศาสดาพระองค์เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ทรงอ้างพระองค์ว่าเป็นอะไรอื่นนอกจากมนุษย์ธรรมดาแท้ๆ ส่วนศาสดาทั้งหลายอื่นนั้นไม่เป็นพระเจ้าเสียเอง ก็เป็นอวตารของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ หรือมิฉะนั้นก็ได้รับความบันดาลใจจากพระเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น พระองค์ยังมิได้ทรงอ้างการดลใจจากเทพเจ้า หรืออำนาจภายนอกแต่อย่างใดทั้งสิ้นอีกด้วย พระองค์ถือว่าการตรัสรู้ การบรรลุธรรม และความสำเร็จของพระองค์ทั้งหมดเป็นความพยายามของมนุษย์ และเป็นสติปัญญาของมนุษย์ มนุษย์และเฉพาะมนุษย์เท่านั้นสามารถจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ มนุษย์ทุกคนมี มีศักยภาพ(ความสามารถในตัวเอง) ในการเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเอง ถ้าหากเขาปรารถนาอย่างนั้น และทำความเพียรพยายาม เราจะเรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นมนุษย์ผู้ยอดเยี่ยมก็ได้ พระพุทธเจ้านั้นทรงมีความเป็นมนุษย์อยู่ในพระองค์เสียจนกระทั่งว่า พระองค์ได้รับการนับถือต่อมาแบบศาสนาของชาวบ้าน ดังหนึ่งว่าเป็นผู้เหนือมนุษย์ (super-human)
ตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ฐานะของมนุษย์เป็นฐานะที่สูงสุด มนุษย์เป็นนายของตนเอง และไม่มีอำนาจวิเศษหรือกำลังอื่นใดที่จะมาพิจารณาตัดสินชี้ขาดชะตากรรมของมนุษย์ได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน ใครอื่นจะสามารถเป็นที่พึ่ง (ของเรา) ได้เล่า”(ขุ.ธ. ๒๕/๒๒/๓๖ คาถาที่ ๑๖๐) พระองค์ได้ประทานโอวาทแก่สาวกทั้งหลายของพระองค์ให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง และไม่ยอมให้แสวงหาที่พึ่ง หรือความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นใดอีก พระองค์ได้ตรัสสอน
ส่งเสริมและกระตุ้นเตือนให้บุคคลแต่ละคนได้พัฒนาตนเอง และทำความหลุดพ้นของตนให้สำเร็จ เพราะมนุษย์มีพลังที่จะปลดปล่อยตนเองจากสังโยชน์ด้วยอาศัยความเพียรและสติปัญญาอันเป็นส่วนเฉพาะตัวได้พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายพึงทำกิจของตนเอง เพราะว่าตถาคตทั้งหลายเพียงแต่บอกทางให้”(ขุ.ธ. ๒๕/๓๐/๕๑ คาถาที่ ๒๗๖ )ถ้าหากพระพุทธเจ้าได้รับพระนามว่า พระผู้ไถ่บาป (พระมหาไถ่) ได้บ้างแล้วไซร้มันก็เป็นได้เฉพาะความหมายที่ว่า พระองค์ได้ทรงค้นพบและทรง ชี้มรรคาไปสู่ความหลุดพ้น(นิพพาน) เท่านั้น แต่เราจะต้องปฏิบัติตามมรรคานั้นด้วยตัวของเราเอง
โดยหลักการแห่งความรับผิดชอบของบุคคลแต่ละคนนี้แหละ พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานอิสรภาพแห่งความคิดแก่สาวกของพระองค์ ในมหาปรินิพพานสูตร ( ที.ฆ. ๑๐/๙๓/๑๑๘)พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า“พระองค์ไม่เคยดำริถึงการบังคับควบคุมคณะสงฆ์เลย และพระองค์ไม่ต้องการที่จะให้คณะสงฆ์ต้องมาคอยพึ่งพาอาศัยอยู่เรื่อยไป (ไม่กุมอำนาจแต่ผู้เดียว)” พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีหลักธรรมวงใน (จำกัดเฉพาะ) ในคำสั่งสอนของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ในกำปั้นของอาจารย์ (อาจริยมุฎฐิ)” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า “ไม่มีสิ่งใดซ่อนไว้ในแขนเสื้อ (ไม่มีอะไรปิดบัง)”
เสรีภาพแห่งความคิดที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้นี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครได้เคยรู้จักมาก่อนในที่อื่นใดในประวัติศาสตร์แห่งศาสนาทั้งหลาย เสรีภาพอันนี้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเหตุว่า ตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ ความหลุดพ้นของมนุษย์ต้องอาศัยการทำให้แจ้งสัจธรรมด้วยตนเอง มิได้อาศัยการุณยภาพที่โปรดปรานของพระเจ้าหรืออำนาจภายนอกใดๆ ให้เป็นรางวัลสำหรับความประพฤติที่ดีงาม และเชื่อฟังต่อพระองค์
คัดจาก พระพุทธเจ้าสอนอะไร : What the Buddha Taught by Walpola Rahula.
แปลโดย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น