ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เรื่องของชีวิต....ตอนที่ ๔


เรื่องของชีวิต....ตอนที่ ๔

พ่อผมเป็นคนธรรมะ ธรรมโม เคยบวชเรียนอยู่หลายพรรษา และเคยมาอยู่ที่กรุงเทพช่วงระยะหนึ่ง เมื่อสึกออกมามีครอบครัวชาวบ้านยอมรับให้ความเคารพนับถือ พ่อมีความเมตตาต่อผู้ที่ขัดสนกว่า ใจบุญสุนทาน ที่บ้านจึงมีคนที่พ่ออุปถัมภ์เลี้ยงดูอยู่หลายคน มีอยู่คนหนึ่งอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งพวกเรานับถือว่าเป็นพี่ชายคนโตในครอบครัว  พี่ชายคนนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวแรงที่สำคัญในครอบครัว ช่วยทำงานที่สำคัญๆแทนพ่อในหลายๆเรื่อง และเป็นคนเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เล็กๆ ไปดูหนังลุง ดูมโนรา หรือไปงานอะไรผมจะอยู่บนบ่าของพี่ชายคนนี้ตลอดแกเรียกผมว่า”ไอ้ตัวหนุ่ย”
 
ผมมีพี่สาวแท้ๆสองคน ก่อนพ่อเสียชีวิตพี่สาวคนโตกำลังอยู่ในช่วงวัยสาว หน้าตาก็ถือว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งในละแวกนั้น  มีชายหนุ่มหลายคนมาชอบพอ ครูผมที่โรงเรียนก็ชอบพีสาวผม เคยให้ผมซ้อนท้ายจักรยานกลับบ้านตอนเลิกเรียน และเคยฝากจดหมายไปให้พี่สาวผม สังเกตว่าพี่สาวก็คงชอบครูผม และยังมีชายหนุ่มอีกคนซึ่งเป็นลูกคนรวยแต่มีนิสัยเป็นนักเลงหัวไม้ เคยมีแม่สื่อมาเรียบๆเคียงจะมาขอพี่สาวผม พอพ่อทราบเรื่องนี้เข้าได้ประกาศทันทีว่า”กูจะไม่ให้ลูกสาวกูกับไอ้คนนี้...หากกูยังมีชีวิตอยู่” แม้พ่อจะเป็นคนธรรมะธรรมโม แต่สำหรับเรื่องศักดิ์ศรีเป็นตายอย่างไรก็ยอมกันไม่ได้ เมื่อฝ่ายชายหนุ่มคนนั้นทราบเรื่องนี้ จึงมีข่าวมาเข้าหูที่บ้านอยู่บ่อยๆว่า ถ้าขอไม่ให้จะมาลาก(ฉุดหญิงสาวไปทำเมีย) ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันมาตลอด พ่อกับพีชายคนโตได้เตรียมพร้อมตลอดเวลา มีปืนมีกระสุนพร้อมมาเมื่อไรเป็นเจอกัน ครั้นอยู่มาวันหนึ่งข่าวในทางลับแจ้งมาว่าเขาจะมาลากพี่สาวผมในคืนนี้ ทั้งพี่ชายคนโตและพ่อเตรียมอาวุธพร้อม ไปซุ่มอยู่ตรงทางที่คิดว่าพวกเขาจะผ่านมากันซึ่งอยู่ห่างจากบ้านออกไป ทันใดก็เห็นผู้ชายเดินมาท่าทางผิดสังเกต จึงเฝ้าดูเหตุการณ์ดูในกลุ่มนั้นไม่มีชายหนุ่มคนนั้นด้วย แต่มีผู้ชายคนหนึ่งที่พี่ชายคนโตรู้จักดี ได้เฝ้าดูพฤติกรรมไปตลอด จนคนกลุ่มนี้เดินเลยไปจากบ้าน หลังจากนั้นหลายวันพี่ชายคนโตได้เจอชายคนที่อยู่ในกลุ่มตอนคืนนั้นจึงสอบถามได้ความว่า ชายหนุ่มคนที่ชอบพี่สาวผมซึ่งเป็นเพื่อนกับเขาได้ไหว้วานให้เขากับพวกมาลาก(ฉุด)พี่สาวผม แต่เขาบอกว่าคืนนี้ไม่สบโอกาส ค่อยหาโอกาสดีๆในวันหลัง....ส่วนใหญ่ที่เขามาลากเมีย(ฉุดหญิงสาวไปทำเมีย)เขาจะใช้เวลาที่หญิงสาวออกนอกบ้าคนเดียวตอนเวลาที่เปลี่ยวๆไม่ค่อยมีคนสัญจร เขาจะไม่ขึ้นไปลากเมียถึงบนบ้านเพราะมันเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกัน เพราะถึงอย่างไรเมื่อได้ผู้หญิงไปอยู่ด้วยกันสักชั่วระยะหนึ่งจึงสงคนมาเจรจาขอขมาลาโทษหรือตกลงกันในเรื่องสินสอดทองมั่นแต่เรื่องนี้ต้องวัดกันในเรื่องศักดิ์ศรีและบารมี แต่บางรายตกลงกันไม่ได้ทั้งหญิงสาวและชายหนุ่มต้องอยู่กันไปท่ามกลางความขัดแย้งจนมีลูกด้วนกันนั้นแหลพ่อตาแม่ยายจึงใจอ่อนยอมให้ขอขมาลาโทษเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติในสังคมบ้านนอกในสมัยโบราญ




หลังจากพ่อตายไปปีกว่าพีสาวผมก็แต่งงานมีการสู่ขอและมั่นหมายกันจนมีการจัดงานแต่งงานใหญ่โต ผมไม่ทราบว่าพี่เขยผมคนนี้จะเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มที่จะมาลากพีสาวผมหรือเปล่า หลังแต่งงานเห็นเขาอยู่กันอย่างปกติมีลูกตั้งหลายคน ช่วยกันทำมาหากินจนมีฐานะที่มั่นคงส่งลูกๆให้ได้เล่าเรียนมาด้วยดี จนอยู่มาวันหนึ่งพี่เขยผมคนนี้ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตกลางตลาดนัด ไม่ทราบว่าขัดแย้งกันในเรื่องธุรกิจหรือเรื่องอะไร พี่สาวผมได้ปรงใจที่จะไม่อาคาดหมาดร้ายกับใครต่อไปไม่คิดเอาเรื่องเอาราวเลี้ยงดูลูกๆคนเดียวมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้พี่สาวคนนี้ของผมอายุเกือบเก้าสิบปีแล้ว……......อย่างไรก็ตามชีวิตยังดำเนินต่อไปในตอนที่ ๔

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง ลุงโง่ย้ายภูเขา

   มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่า ลุงหยูกง แกตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่หลังภูเขาสองลูกชื่อว่า ไท่เชียงและหวังหวู ภูเขาสองลูกนี้ สูงนับพัน เริน กว้างใหญ่ถึง 700 ตารางลี้ ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังเขาทั้งสองลูกนี้ ไม่สะดวกในการเดินทางเพราะภูเขามาปิดกันความ สะดวกสบาย แต่ด้วยความเคยชินไม่มีใครสนใจต่ออุปสักข้อนี้ ลุงหยูกงแกก็ใช้ชีวิติไปตามปกติเหมือนคนทั่วไป หรือแกจะคิดถึงอุปสักข้อนี้ อยู่บ้างตามนิทานก็ไม่ได้บันทึกไว้ และอีกข้อหนึ่งที่นิทานไม่ได้บันทึกไว้ก็คือไม่เคยปรากฏว่าแกเคยเป็นกำานัน ตามนิทานจึงไม่เรียกแกว่า “ลุง กำานัน  หยูกง”   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งแกเกิดดำาริขึ้นในใจว่า”เราก็ทำาอะไรต่อมิอะไรมาในชีวิติมากมายถูกบ้างผิดบ้างเป็ นธรรมดาของคน สามัญทั่วๆไป แต่ครั้งนี้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่า ไอ้ภูเขาสองลูกนี้ที่ขวางความเจริญของหมู่บ้านเราอยู่นี้ จะต้องขุดย้ายออกไป ไม่ให้เป็นอุปสักขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านต่อไปอีก ว่าแล้วแกก็ชวนลูกหลานและเพื่อนบ้านที่เห็นด้วยกับแกให้มาช่วยกันขุดย้าย ภูเขา ยังมีเพื่อนบ้านของลุงหยูกงคนหนึ่งชื่อว่า ลุงจือโช่ว เม

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน ( ผศ.ดร. สุปราณี แก้วภิรมย์) เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียมนั้น ปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบที่ค้นพบจะถูกนำมากลั่นเสียก่อน การกลั่นน้ำมันดิบก็คือการย่อยสลายส่วนประกอบของปิโตรเลียมออกเป็นส่วนต่างๆ ที่แตกต่างกันมากมาย เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเตา ถ่านโค้ก ขี้ผึ้ง ยางมะ-ตอย และแก๊สหุงต้ม เป็นต้น   โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) และ โรงกลั่นน้ำมันบริษัทระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยอง และเป็นที่น่าสังเกตว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นดังกล่า

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)   ถ้าหากจะต้องจัดลำดับใหม่ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มรรคที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการดังกล่าวก็คือ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขาที่เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญาสิกขา สิกขา   ตามความหมายของพุทธนั้น คือ กระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติและได้ประจักษ์แจ้งจริง ส่วน อธิ นั้นหมายถึง ใหญ่ หรือสำคัญ ดังนั้น อธิและสิกขาก็คือการเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปของศีล จิตต (สมาธิ) และปัญญา อันเป็นลักษณะพลวัตของไตรสิกขาดังกล่าว หรือกล่าวโดยย่อก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ องค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการพัฒนายิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อการบรรลุนิพพานนั่นเอง จึงจำแนกได้ดังนี้      ดังนั้นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะยกระดับจิตของมนุษย์ก็คือปัญญาซึ่งเป็นจุดเน้นที่สำคัญที่สุดของพุทธธรรมและเนื่องจากปัญญามีความสำคัญที่สุดกระบวนการสร้างปัญญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งจุดนี้เป็นจุดที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มนุษยนิยม        เพื่อการเข้าใจที่ชัดเจนของกระบวนการยกระดับหรือสร้างเสริมทางปัญญา  จะต้องหันกลับมาศึกษาองค์ประกอบของมนุษ