เรื่องของชีวิต....ตอนที่ ๘
ผมเป็นครูอยู่ที่สตูลประมานสองสามปี เมืองสตูลเป็นเมืองเล็กๆที่ติดทะเลและเป็นเมืองชายแดนติดกับมาเลเซีย จังหวัดสตูลเป็นหนึ่งใน 4 จังหวัดของประเทศไทยที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งมีมากถึงร้อยละ 67.8 ส่วนใหญ่มีเชื้อสายมลายู ชาวสตูลที่มีเชื้อสายมลายูแต่เดิมใช้ภาษามลายูเกดะห์ ในการสื่อสาร
แต่ในช่วงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีชาวสตูลก็ลืมภาษามลายูถิ่นของตน อย่างไรก็ตามอิทธิพลทางด้านภาษามลายูถิ่นในจังหวัดสตูลนั้นยังมีให้เห็นทั่วไป
เช่น เกาะตะรุเตา (มาจากคำว่า ตะโละเตา แปลว่า อ่าวเก่าแก่),
อ่าวพันเตมะละกา (แปลว่า ชายหาดที่มีชาวมะละกา), อุทยานแห่งชาติทะเลบัน (มาจากคำว่า ลาอุตเรอบัน แปลว่า ทะเลยุบ)
เป็นต้น แต่หลายพื้นที่ได้เปลี่ยนแปลงชื่อให้เป็นภาษาไทยไป เช่น อำเภอสุไหงอุเป
(มีความหมายว่า คลองกาบหมาก) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอทุ่งหว้า, บ้านปาดังกะจิ เปลี่ยนเป็น บ้านทุ่งนุ้ย,
บ้านสุไหงกอแระ เปลี่ยนเป็น บ้านคลองขุด แม้ว่าในอดีตสตูลจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสุลต่านแห่งไทรบุรี
แต่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ รวมไปถึงเหตุผลด้านภูมิศาสตร์สตูลจึงนิยมติดต่อกับสงขลามากกว่าไทรบุรี
ทำให้ได้รับอิทธิพลทางประเพณีและวิถีชีวิตอย่างสูงจากสงขลา ชาวไทยเชื้อสายมลายูมุสลิมได้แต่งงานข้ามกันกับชาวไทยพุทธโดยไม่มีความตึงเครียดทางศาสนา
ทำให้เกิดกลุ่มสังคมที่เรียกว่า ซัมซัม (มลายู: Samsam) ซึ่งในภาษามลายูแปลว่า
ลูกครึ่ง ซัมซัมส่วนใหญ่ก็มิได้นับถือศาสนาอิสลามเสมอไป จังหวัดสตูลไม่เหมือนจังหวัดมุสลิมอื่นในไทย
เนื่องจากไม่มีระวัติศาสตร์การเผชิญหน้ากับศูนย์กลางการปกครองในกรุงเทพมหานครหรือความตึงเครียดระหว่างชาวไทยพุทธ
ซึ่งเป็นนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย
ก่อนที่ผมจะย้ายไปเป็นครูสอนในอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งเป็น
๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้เช่นกัน แต่ในช่วงนั้นปัญหาการก่อการร้ายแทบจะไม่มีบ้านเมืองยังสงบดี
ผมได้แต่งงานกับสาวลูกครึ่งซัมซัม (มลายู: Samsam)
ผมได้พบรักกับเธออย่างไรเหรอ....มันเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้ ในวันลอยกระทงในเมืองสตูล
ผมไม่ตั้งใจจะไปลอยกระทงเพราะไม่เตรียมกระทงไปเลยและผมก็ไม่ได้นัดหมายกับใครที่จะไปลอยกระทงร่วมกัน
ขณะที่ผมยืนมองคนอื่นเขาลอยกระทงอยู่ มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาทักทายยกมือไหว้ พร้อมกับแนะนำตัวว่า
เคยเห็นคุณครูไปคุยกับคุณพ่อที่บ้านบ่อยๆ หนูเป็นลูกของครูสุวรรณ ปกติเวลาผมไปนั่งคุยกับครูสุวรรณที่บ้านผมไม่ค่อยสนใจคนในบ้านสักเท่าไร
แต่ก็พอจำหน้าสาวน้อยคนนี้ได้ ก็ทักทายพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามว่าแล้วมากับใคร
พอจะตอบว่ามากับใครหันไปมองหาเพื่อนๆที่มาด้วยกันทั้งหมดได้หายหน้าไปหมด เราสองคนต้องเดินตามหาเพื่อนๆตลอดทั้งงาน
ในใจตอนนั้นนึกตำหนิว่าคนสมัยนี้ไม่ค่อยรับผิดชอบพาเพื่อนกันมาเที่ยวงานแล้วมาทิ้งกันง่ายๆ
ในที่สุดตัวเองต้องรับผิดชอบพาเธอเที่ยวงานและหาเพื่อนๆไปด้วย จนงานใกล้เลิกก็ไม่เจอใครต้องเป็นหน้าที่ต้องรับผิดชอบพาเธอไปส่งที่บ้านเอง....
หลังจากนั้นทุกครั้งที่เราไปหาครูสุวรรณก็จะได้เจอเธอทุกครั้ง
จนในที่สุดเราสองคนก็สนิทสนมกันมากขึ้นจนกลายเป็นความสัมพันธ์ทางหัวใจที่ใครๆก็รู้กันทั่ว.......มีช่วงหนึ่งผมเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพหลายวัน
เมื่อกลับไปสตูลก็ซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปฝากเธอด้วย เมื่อไปหาเธอที่บ้าน
เธอก็รีบร้อนเข้ามาต้อนรับพร้องกับบอกว่าจะมีข่าวดีบอก
เธอบอกว่าผู้ใหญ่ในจังหวัดมาทาบทามให้เธอเข้าประกวดนางงามประจำจังหวัดในงานประจำปีฮารีรายอ
ผมไม่สนใจที่จะรับรูเรื่องนี้ ผมแค่พูดว่าเรื่องประกวดนางงานนางเงิมอะไรนี้ไม่เห็นมีอะไรสร้างสรรค์เลย
นี้พูดอย่างเกรงใจสุดๆแล้ว ถ้าจะพูดอย่างที่ตั้งใจก็จะพูดว่า “มันน้ำเน่าสินดี”
แม้ในวันที่เขาประกวดผมก็ไม่เยี่ยมกลายไปใกล้เลยและไม่สนใจที่จะรับรู้
จนเขาประกวดเสร็จสิ้น เธอถูกตัดสินให้ได้ตำแหน่งนางงามประจังหวัดสตูล
เธอพยายามนำข่าวดีมาบอกเพื่อให้ผมแสดงความยินดีกับเธอผมตอบรับรู้ไปอย่างแกนๆไม่ให้ความสำคัญกับมันเลย
จนกระแสเรื่องนางงามเริ่มจางไป หลังจากที่เราได้ดูใจกันมานานพอสมควร ก็ได้ปรึกษาที่จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอหมั้นหมายและเราก็ได้แต่งงานกัน
และผมก็ได้ย้ายไปเป็นครูสอนในระดับวิทยาลัยอีกจังหวัดหนึ่ง เราไปสร้างครอบครัว
เรามีลูกด้วยกัน ๔ คน เป็นผู้ชายหนึ่งคน และผู้หญิงสองคน
ลูกคนเล็กเป็นผู้หญิงลูกคนนี้สุขภาพไม่ดีเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมาแต่กำเนิดจึงเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
ยังเหลือลูกสองคนเราช่วยกันเลี้ยงดูมาด้วยกัน
เราช่วยกันสร้างครอบครัวมาด้วยดีตามความรู้ความสามารถที่เราสองคนใช้ความเพียรร่วมกัน
อยากลำบากทุกข์สุขเราฝ่าฟันมาด้วยกันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน มีบ้างที่เราคิดต่างกันเราโต้เถียงขัดแย้งแสดงเหตูผลของตัวเอง
นี้คือวัฒนธรรมในครอบครัวเราไม่ว่าเรื่องการเลี้ยงลูกหรือการตัดสินใจในเรื่องอะไร
ไม่มีใครจะกดข่มใครง่ายๆจนกว่าจะมีเหตุผลที่พอยอมรับกันได้ จึงทำให้ลูกๆ
ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ แต่ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ลูกๆทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
ตั้งแต่เล็กจนโตเราเลี้ยงดูลูกๆให้ได้รับการศึกษาแม้ว่ามันจะไม่ค่อยเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป
ที่ให้ลูกเริ่มเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุ ๓ ขวบกว่าในระดับอนุบาล และ ๗ ขวบ ในระดับประถม
แต่เราเอาลูกมาเข้าโรงเรียนเมื่ออายุ ๑๐ ขวบแล้ว...เรื่องนี้มีเรื่องเล่ามากมายซึ่งจะนำมาเล่าในภายหลัง.....อย่างไรก็ตามเราเลี้ยงลูกให้ได้รับการศึกษาจนจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยของรัฐระดับต้นๆทั้งสองคน
คนพี่เรียนจบแล้วทำงานด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็เป็นอาชีพที่พอเลี้ยงตัวและครอบครัวไปได้
อีกคนก็จบปริญญาเอกเป็นนักวิชาการสอนอยู่ในมหาวิทยาลัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น