ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ต้องแก้ฝุ่นพิษ...ไม่ใช่ควันพิษ!


ต้องแก้ฝุ่นพิษ...ไม่ใช่ควันพิษ!
โดย สิริอัญญา 
วันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2562
อันตรายที่กำลังคุกคามคนกรุงเทพฯ อย่างรุนแรงอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กจะมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดก็คือฝุ่นพิษ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับควันพิษ แต่น่าแปลกใจยิ่งนักที่คนแดนใกล้แดนไกลพากันพูดเหมือนกัน คือออกความคิดความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขควันพิษ
โดยไม่แตะต้องสิ่งที่เรียกว่า “ฝุ่นพิษ” ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่าฝุ่นพิษกับควันพิษนั้นเป็นคนละเรื่อง
การออกความคิดความเห็นเพื่อแก้ไขควันพิษ รวมทั้งมาตรการที่ใช้กันในขณะนี้คือการฉีดน้ำและการทำฝนเทียม ถึงขั้นที่จะห้ามประชาชนใช้รถ ล้วนแต่เป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุดและไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ดังนั้นแม้จะทำฝนเทียม ฉีดน้ำกันทั้งเมืองติดต่อกัน 2-3 วัน ฝุ่นพิษก็เจือจางไป 2-3 วัน และมาถึงวันนี้ฝุ่นพิษก็หนักหนาสาหัสเกินค่ามาตรฐานมากขึ้นไปอีก
ควันพิษนั้นเกิดจากการเผาไหม้ ไม่ว่าการเผาไหม้จากเครื่องรถยนต์ หรือจากการเผาขยะ หรือจากการเผาสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ แม้กระทั่งการเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งก่อให้เกิดควันพิษขึ้น และควันพิษนั้นก็เป็นอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เป็นมะเร็งได้ด้วย
ส่วนฝุ่นพิษนั้นเกิดจากการเผาถ่านหิน ไม่ว่าจะเป็นถ่านหินธรรมดาหรือถ่านโค้ก เพื่อให้ได้ถ่านหินบริสุทธิ์ก็ตาม ซึ่งอวดอ้างกันนักหนาว่าขณะนี้มีเทคโนโลยีที่ป้องกันฝุ่นพิษได้เป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งเป็นเพียงแค่การโฆษณาชวนเชื่อหลอกพวกหน้าโง่หรือแกล้งทำเป็นโง่เพื่อเกื้อกูลให้กับขบวนการขายชาติเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เรื่องฝุ่นพิษเป็นเรื่องระดับโลกที่เกิดขึ้นในเมืองจีน เพราะมีโรงงานที่เผาถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และเผาถ่านโค้กเพื่อให้ได้ถ่านหินบริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ทุกวันเวลาจะมีฝุ่นพิษคละคลุ้งทั่วฟ้าประเทศจีน
ในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็กำหนดให้ขับไล่รื้อถอนโรงงานที่ก่อฝุ่นพิษออกไป มีการปิดโรงงานที่ก่อฝุ่นพิษหลายพันโรงงาน และโรงงานเหล่านี้ก็ถูกขนออกไปตั้งในต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
มีการใช้อภินิหารสารพัด ในที่สุดก็มีการปล่อยผีคำขออนุญาตตั้งโรงงานเกือบ 2,000 โรงงาน ทำให้โรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงและใช้การเผาโลหะหนักเพิ่มขึ้นในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว และส่วนใหญ่ก็ตั้งในภาคตะวันออก โดยปกติแล้วโรงงานประเภทนี้ไม่มีวันได้รับอนุญาต แต่ก็มีขบวนการขายชาติที่เส้นแข็งเส้นใหญ่ขับเคลื่อนจนตั้งโรงงานได้สำเร็จ
โรงงานเหล่านี้ก่อฝุ่นพิษในเมืองจีนอย่างไร ก็มาก่อฝุ่นพิษในเมืองไทยอย่างนั้น!
เป็นแต่ว่าก่อนเดือนธันวาคม 2561 ฝุ่นพิษเหล่านี้คละคลุ้งอยู่ในภาคตะวันออก และลอยตามกระแสลมไปทางด้านเขมร ลาว เวียดนาม ไปออกทะเลที่มหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้นฝุ่นพิษนี้จึงไม่เข้ามาที่กรุงเทพฯ
ครั้นถึงข้างขึ้นเดือนอ้ายและคงต่อเนื่องไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 เป็นช่วงกระแสลมเปลี่ยนทิศ ลมนอกหรือลมตะวันออกพัดแทนที่ลมพลัด ดังนั้นเมื่อกระแสลมพัดหวนกลับมาจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็พัดพาเอาฝุ่นพิษเหล่านี้เข้ามายังกรุงเทพฯ และพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะนับเป็นระยะถึง 300 กิโลเมตร ฝุ่นพิษนี้ก็ยังลอยไปถึง
จากการฉีดน้ำขึ้นไปบนอากาศและการทำฝนเทียมก็เห็นความจริงกันชัดแก่ตาแล้วว่า น้ำได้ชะพาเอาฝุ่นลงมาเป็นตะกอน ซึ่งตะกอนนี้แหละเป็นตะกอนของฝุ่นพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย ตั้งแต่หลอดลมอักเสบไปจนถึงโรคปอด และโรคมะเร็งในที่สุด
ดังนั้นกระแสลมเปลี่ยนทิศเพียงไม่กี่วันก็สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้างด้วยฝุ่นพิษดังกล่าว ทำให้เด็กและผู้สูงอายุเจ็บป่วยกันโดยทั่วไป ทำให้บรรดานักออกกำลังกายที่ไม่ทราบเรื่องนี้ป่วยเจ็บกันเป็นจำนวนมาก คลินิกและโรงพยาบาลแน่นขนัดด้วยคนป่วย
จากนั้นก็มีการตื่นตัวขึ้น เพราะเสียงความเดือดร้อนของประชาชนกึกก้องดังสนั่นแต่เป็นที่น่าสมเพชเวทนา เพราะแทนที่จะคิดอ่านแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษกลับมาพูดกันแต่เรื่องควันพิษ และการแก้ไขปัญหาควันพิษ
เลอะเทอะมาถึงขนาดที่กำลังจะสร้างความเดือดร้อนซ้ำเติมให้ประชาชน เช่น ห้ามติดเครื่องรถในขณะจอด มีการตรวจสอบการเผาไหม้ของรถ และจับรถควันดำ ซึ่งความจริงควรจะจับไปตั้งนานแล้ว
แต่ในส่วนที่เป็นต้นตอของฝุ่นพิษโดยตรงนั้นกลับไม่มีการแตะต้อง และที่น่าสมเพชเวทนาก็คือมีการแถลงว่าไม่พบว่าโรงงานใดปล่อยฝุ่นพิษเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุเรศ ทุรังน่าสอบสวนดำเนินคดีเอาไปเข้าคุกเข้าตะรางเสียให้เข็ด
เพราะแค่ดูจากแผนที่ดาวเทียมก็จะเห็นชัดเจนถึงการเคลื่อนตัวของฝุ่นพิษว่ามาจากไหนไปทางไหน และชาวโซเชียลมีเดียก็โพสต์ภาพแฉกันอุตลุดถึงฝุ่นพิษที่ปล่อยออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ปานนี้แล้วคนทรยศชาติและคนโกงบ้านกินเมืองก็ยังบังอาจพูดได้ว่าไม่พบโรงงานที่ปล่อยฝุ่นพิษ
บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ ก็เพราะคนแบบนี้มีอำนาจ!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง ลุงโง่ย้ายภูเขา

   มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่า ลุงหยูกง แกตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่หลังภูเขาสองลูกชื่อว่า ไท่เชียงและหวังหวู ภูเขาสองลูกนี้ สูงนับพัน เริน กว้างใหญ่ถึง 700 ตารางลี้ ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังเขาทั้งสองลูกนี้ ไม่สะดวกในการเดินทางเพราะภูเขามาปิดกันความ สะดวกสบาย แต่ด้วยความเคยชินไม่มีใครสนใจต่ออุปสักข้อนี้ ลุงหยูกงแกก็ใช้ชีวิติไปตามปกติเหมือนคนทั่วไป หรือแกจะคิดถึงอุปสักข้อนี้ อยู่บ้างตามนิทานก็ไม่ได้บันทึกไว้ และอีกข้อหนึ่งที่นิทานไม่ได้บันทึกไว้ก็คือไม่เคยปรากฏว่าแกเคยเป็นกำานัน ตามนิทานจึงไม่เรียกแกว่า “ลุง กำานัน  หยูกง”   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งแกเกิดดำาริขึ้นในใจว่า”เราก็ทำาอะไรต่อมิอะไรมาในชีวิติมากมายถูกบ้างผิดบ้างเป็ นธรรมดาของคน สามัญทั่วๆไป แต่ครั้งนี้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่า ไอ้ภูเขาสองลูกนี้ที่ขวางความเจริญของหมู่บ้านเราอยู่นี้ จะต้องขุดย้ายออกไป ไม่ให้เป็นอุปสักขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านต่อไปอีก ว่าแล้วแกก็ชวนลูกหลานและเพื่อนบ้านที่เห็นด้วยกับแกให้มาช่วยกันขุดย้าย ภูเขา ยังมีเพื่อนบ้านของลุงหยูกงคนหนึ่งชื่อว่า ลุงจือโช่ว เม

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน ( ผศ.ดร. สุปราณี แก้วภิรมย์) เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียมนั้น ปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบที่ค้นพบจะถูกนำมากลั่นเสียก่อน การกลั่นน้ำมันดิบก็คือการย่อยสลายส่วนประกอบของปิโตรเลียมออกเป็นส่วนต่างๆ ที่แตกต่างกันมากมาย เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเตา ถ่านโค้ก ขี้ผึ้ง ยางมะ-ตอย และแก๊สหุงต้ม เป็นต้น   โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) และ โรงกลั่นน้ำมันบริษัทระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยอง และเป็นที่น่าสังเกตว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นดังกล่า

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)   ถ้าหากจะต้องจัดลำดับใหม่ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มรรคที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการดังกล่าวก็คือ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขาที่เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญาสิกขา สิกขา   ตามความหมายของพุทธนั้น คือ กระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติและได้ประจักษ์แจ้งจริง ส่วน อธิ นั้นหมายถึง ใหญ่ หรือสำคัญ ดังนั้น อธิและสิกขาก็คือการเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปของศีล จิตต (สมาธิ) และปัญญา อันเป็นลักษณะพลวัตของไตรสิกขาดังกล่าว หรือกล่าวโดยย่อก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ องค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการพัฒนายิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อการบรรลุนิพพานนั่นเอง จึงจำแนกได้ดังนี้      ดังนั้นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะยกระดับจิตของมนุษย์ก็คือปัญญาซึ่งเป็นจุดเน้นที่สำคัญที่สุดของพุทธธรรมและเนื่องจากปัญญามีความสำคัญที่สุดกระบวนการสร้างปัญญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งจุดนี้เป็นจุดที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มนุษยนิยม        เพื่อการเข้าใจที่ชัดเจนของกระบวนการยกระดับหรือสร้างเสริมทางปัญญา  จะต้องหันกลับมาศึกษาองค์ประกอบของมนุษ