เมื่อเจ้าชายหนุ่มนามว่า “สิทธัตถะ” พระนามโคตรว่า “โคตรมะ” ได้สมรสกับเจ้าหญิงอันเลอโฉมที่จงรักภักดีต่อพระองค์มีพระนามว่า “ยโสธรา” เจ้าชายหนุ่มประทับอยู่ในพระราชวังของพระองค์ด้วยความสะดวกสบายในทุกประการ ภายหลังการประสูติพระโอรสพระองค์เดียวคือเจ้าชาย “ราหุล” ไม่นานหนัก พระองค์ได้เสด็จจากอาณาจัรของพระองค์ไปและได้ทรงผนวชเป็นนักบวช(ฤาษี)เพื่อแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์
นับเป็นเวลาถึง ๖ ปี พระฤาษีโคตมะได้เสด็จจาริกเรื่อยไปในแถบลุ่มแม่น้ำคงคาได้ทรงพบกับอาจารย์สอนศาสนาที่มีชื่อเสียง
พระองค์ได้ทรงศึกษาและปฏิบัติตามระบบการและวิธีการของอาจารย์เหล่านั้น และได้ยอมลดพระองค์ลงรับข้อปฏิบัติแบบทุกกรกิริยาอันหนักยิ่งและใช้วิธีการสะกดจิตให้เกิดความสงบ ให้มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า
แต่ข้อปฏิบัติแห่งหลักการและระบบศาสนาเหล่านั้นทั้งปวงไม่ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยเลย
ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงละทิ้งศาสนาที่มีมาแต่เดิมทั้งหมด พร้อมทั้งวิธีการของศาสนาเหล่านั้นเสีย
แล้วดำเนินไปตามวิถีทางของพระองค์เอง จนกระทั่งราตรีวันหนึ่ง เมื่อพระองค์ประทับนั่งอยู่ที่ภายใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
รู้จักกันโดยชื่อว่า ต้นโพธิ์ (ต้นไม้ตรัสรู้) ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราที่พุทธคยา (ใกล้ตำบลคยาในรัฐพิหารปัจจุบัน)
เมื่อพระชนม์ได้ ๓๕ พรรษาพระโคตมะก็ได้บรรลุพระโพธิญาณ ซึ่งภายหลังจากการบรรลุโพธิญาณนั้นแล้ว
พระองค์ก็เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่าพระพุทธเจ้า หรือ พระผู้ตรัสรู้แล้ว
หลังจากการตรัสรู้ของพระองค์แล้ว พระโคตมะพุทธเจ้าก็ได้ทรง ประทานปฐมเทศนาแก่เบญจวัคคีย์
ซึ่งเป็นผู้ร่วมปฏิบัติธรรมมาแต่แรกของพระองค์ ณ ที่ป่าอิสิปตนะ(สารนาถ) ใกล้เมืองพาราณสี นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาเป็นเวลา ๔๕ พรรษา พระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนมนุษย์ชายหญิงทุกชั้น
กล่าวคือ ทั้งกษัตริย์ ชาวนา พราหมณ์ จัณฑาล ทั้งคฤหบดีและขอทาน ทั้งนักบวชและพวกโจร
โดยมิได้ทรงแบ่งแยกชนชั้น พระองค์มิได้ทรงยอมรับความแตกต่างกันแห่งวรรณะ หรือการแบ่งชนชั้นในสังคมเลย
เมื่อพระชนม์ได้ ๘๐ พรรษา พระพุทธเจ้าก็เสด็จดับขันธปรินิพพานที่ เมืองกุสินารา
(ซึ่งอยู่ในเขตอุตรประเทศในประเทศอินเดียปัจจุบัน) ประชากรชาวพุทธทั่วโลกมีจำนวนเกินกว่า ๕๐๐ ล้านคน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น