ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มีนาคม, 2019

ประชาธิปไตยของใคร

ประชาธิปไตยของใคร ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือที่มนุษย์คิดประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของชนชั้นที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา แต่ละประเทศ ให้คำนิยาม วิธีการได้มาและวิธีใช้ก็ต่างกัน….. สำหรับประเทศไทยฝ่าย # นายทุนผูกขาดอำมาตย์เหนือรัฐที่อิทธิพลของอเมริกาครอบงำ เป็นผู้ใช้ประชาธิปไตยเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตนโดยกำหนดเส้นทางให้สมุนของชนชั้นตนไปเกาะกินผลประโยชน์ของสังคมได้อย่างสะดวกง่ายดาย ส่วนประชาชนถูกสกัดด้วยกฎกติกาทางกฎหมายและวิธีการเลือกตั้ง แต่ประชาชนไทยบางส่วนยังไม่ทราบเพราะถูกนักวิชาการ นายทุนศักดินาอำมาตย์เหนือรัฐ สื่อมวลชน ตลอดจนข้าราชการบางส่วนที่ยอมตัวเป็นขี้ข้ารับใช้การครอบงำของระบบทุนนิยมตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกาต้มตุ๋นหลอกลวงมาตลอด …..ประชนไทยต้องตื่นรู้พิทักษ์สิทธิ์ของตัวเองช่วงชิงเอาประชาธิปไตยมาเป็นของประชาชนไทยทั้งมวลโดยแปรเปลี่ยนการได้มาซึ่งประชาธิปไตยเป็นความชอบธรรมทางกฎหมายและความเป็นจริงในทางปฏิบัติให้เป็นการเลือกตั้งทางตรงจากประชาชนหน่วยย่อยทั่วทั้งประเทศและประชาชนทุกหมู่เหล่าต้องสามัคคีกันทำแนวร่วมพลังมวลชนเข้าด้วยกันทั้งชาวบ้านเกษตรกร ผู้ประกอบการ นักศึกษาปัญญ

สังคมไทยได้เคลื่อนมาสู่จุดสูงสุดของสองด้านแห่งความขัดแย้ง

การเลือกตั้งครั้งนี้ 24 มีนาคมยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ใครจะจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อไรนั้นมันเป็นการเช็คบาลานซ์ทางอำนาจก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยากนัก แต่การเคลื่อนไหวทั้งสองฝั่งของด้านตรงกันข้ามมันมีรายละเอียดที่น่าจะนำมาศึกษาวิเคราะห์ไว้เป็นบทเรียนอย่างยิ่ง ที่ปรากฎเห็นได้ชัดไม่ต้องวิเคราะห์มากนักก็คือ ภาววิสัยของสังคมไทยได้เคลื่อนมาสู่จุดสูงสุดของสองด้านแห่งความขัดแย้ง ซึ่งมันเป็นกฎทั่วไปของกฎธรรมชาติหรือกฎของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์และวัตถุนิยมวิภาษวิธีนั่นก็คือกฎแห่งองค์ธรรมทั้งสาม “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” อันเป็นความจริงแท้ของสรรพสิ่งทั้งหลายในมหาจักรวาล ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต กล่าวคือสิ่งทั้งหลายไม่สามารถตั้งอยู่ได้ตลอดไปจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากความขัดแย้งทั้งจากภายนอกและภายใน ทำให้ไม่สามารถยึดถือเอาไว้ได้ เป็นกฎธรรมชาติตามความหมาย ที่แท้จริง …...เพื่อทำความเข้าใจและดัดแปลงตนเองในฐานะมนุษย์อันเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ต้องขจัดความเป็นอวิชชาคือความไม่รู้สิ่งที่จริงแท้และความมีกิเลสไปสู่ความรู้จริงตามภาววิสัยก็คือ “ปัญญา” ตามหลักของธรรมนิยาม “มนุษย์และมนุษย์เท่านั้นที่สามารถใ

กล้าฆ่าเสือร้ายตบยุง

ถึงแม้คุณจะชั่วช้าสามานย์สักปานใด แม้ใครเขาจะกล่าวหาว่าคุณเผาคุณฆ่า/ถูกฆ่า แม้กระทั่งเขาว่าคุณก่อขบถ ก่อรัฐประหาร หรือด้านหนึ่ง/ฝ่ายหนึ่งบางพวกกล่าวขานกันนักว่าเป็นคนดีไม่มีชั่ว ไม่มัวหมองถูกต้องรักษาชาติศาสน์กษัตริย์…….การเลือกตั้งกันในวันที่ 24 มีนานี้ ถึงจะไม่มีกฎกติกาที่จะมาทำให้เชื้อได้ว่าสิ่งที่ได้มาจะเป็นประชาธิปไตยได้มากนัก…..แต่เราก็จะไปเลือกถึงจะได้คนแบบใดมาเรารับได้….หากคุณมีเป้าที่คาดหมายได้หรือยังเหนียมอายไม่กล้าแสดงแต่ตรงกับความคาดหวังของเรา เราขอพูดอย่างตรงไปตร งมาว่าถ้าคุณกล้าที่จะ”ปฏิวัติสังคมนี้ ทุบทำลายกลไกสังคมที่มันผุพังและเน่าเสีย เปลี่ยนเป็นสังคมใหม่ที่ดีกว่าและก้าวหน้าสร้างสังคมที่มีสันติสุขอย่างท้วนหน้า(กล้าฆ่าเสือร้ายและตบยุง).....พวกเราประชาชนบัดนี้ได้้ตื่นรู้ด้วยปัญญาแล้วที่ผ่านมาเราหลงเชื่อพวกคุณที่ว่าดีและว่าชั่วมาแล้วจนรู้ขี้เห็นไส้มาพอที่จะประเมิน วิเคราะห์ วิจัย ในสิ่งที่พวกคุณก่อกรรมนั้นอย่างถึงกึ๋น…..พวกเราพร้อมที่จะลืมเรื่องร้ายทั้งหมดที่ผ่านมาหากคุณคิดและลงมือทำให้เป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรมให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วพวกเราประชาชนจะสามัคคีกัน ร่วมมือ

ชมรมเพื่อน วทต.

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณพูนสวัสดิ์ ได้ติดต่อมาสอบถามถึงความเป็นมาของการริเริ่มจัดงานสังสรรค์เพื่อน วทต.ครั้งแรก ผมจำได้ว่าผมเคยเขียนเล่าไว้ในวารสารจดหมายข่าวเพื่อน วทต. และช่วงหลังที่เขาเริ่มใช้ Line กันผมเคยเขียนไว้ในกลุ่ม Line เพื่อน วทต.พร้อมสรุปรายงานกิจกรรมต่างๆตั้งแต่ต้น และมีภาพถ่ายและคลิปวีดิโอประกอบมากมาย ผมได้เก็บไฟล์ข้อมูลทั้งหมดไว้ในฮารดดีสด พีซี .....เนื่องจากข้อมูลมีมากและยังไม่ได้จัดให้เป็นหมวดหมู่ จึงต้องใช้เวลาในการค้นหาข้อมูล แต่ในเบื้องต้นผมจะเล่าเท่าที่พอจำได้ดังนี้.....พวกเราชาว วทต.ที่อยู่ในกรุงเทพและจังหวัดใกล้เคียง นัดพบปะกันไม่เป็นทางการอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นงานบุญ งานขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิด.....ผมเองเรียนจบที่ วทต.ระดับ ปวช.ช่างยนต์เมื่อปี ๒๕๐๖ มาอยู่กรุงเทพไม่ค่อยได้พบเพื่อนฝูงเท่าไร อาจจะเป็นเพราะผมทำงานไม่เหมือนเพื่อนๆ เพื่อนๆส่วนใหญ่ทำราชการ ผมทำงานทางสังคมนอกระบบราชการหรือที่ชาวบ้านเรียก NGOs ประกอบกับช่วงหนึ่งผมได้ลี้ภัยจากเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองไปอยู่ต่างประเทศเกือบสิบปี มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปหาเพื่อนคนหนึ่งเขามีท่าทีกลัวๆผม ในสายตาเหมือนกับว่าผมเ

การดำเนินชีวิตตอนที่ ๑๐ โค้งสุดท้ายก่อนเลื่อตั้ง....ผมเลือกแน่

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง แม้คุณจะถูก ประณาม ว่าเป็นคนชั่วเป็นโจรป่าหรือเป็นคนเผา คนฆ่า/ถูกฆ่า หากคุณอาสาจะเปลี่ยนโครงสร้างสังคมเก่าที่เหม็นเน่าและผุพังให้เป็นสังคมใหม่ที่ก้าวหน้าและดี ทุกคนมีความสุขสันติคิดว่าสิ่งนี้เป็นที่ต้องการของประชาชน.....ผมคนหนึ่งจะเลือกแน่....!!!

เรื่องของชีวิต ตอนที ๙ : คนไร้ศาสนาในแผ่นดินนี้

  คนไร้ศาสนาในแผ่นดินนี้ ผมเป็นชาวพุทธมาโดยกำเนิดตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเรียนหนังสือ จากการศึกษาค้นคว้าในหลักธรรมของพระสัมมาพุทธเจ้าในช่วงวัยเรียนและช่วงหนุ่มๆจึงทำให้ผมเกิดความสับสน เพราะเมื่อนำมาป ระมวล วิเคราะห์ วิจัย ไตรตรองไคร้ครวญอย่างรอบด้านแล้ว ในสิ่งที่ได้รับรู้มากับสิ่งเรียก”พุทธศาสนา ”โดยเนื้อแท้แล้วห่างไกลจากหลักธรรมและแก่นแท้ของหลักธรรมคำสอนของพระพระพุทธเจ้าอย่าสิ้นเชิง แม้ว่าในทางสังคมผมจะมีฐานะเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ แต่ในด้านจิต/ใจ ความเชื่อและความศรัทธา ผมหาใช่เป็นสิ่งที่เรียกว่า”พุทธศาสนา”ไม่ ผมเป็นผู้เชื่อถือ ยอมรับ และศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่สิ่งนี้ไม่มีในแผ่นดินนี้ ที่ถูกจัดให้มีที่เป็นศาสนา ถ้านับฐานะทางด้านจิต/ใจ ความเชื่อความศรัทธาแล้วผมเป็นคน ไร้ศาสนา ในแผ่นดินนี้

ฉลาดหรือปัญญา

ความฉลาดเป็นความรู้ที่เกิดจาก กระบวนการทำงานทางสมอง ส่วนปัญญาเป็นความรู้ที่เกิดจาก กระบวนการทำงามในระดับจิต ความรู้ที่เกิดด้วยความฉลาด เป็นความรู้ที่เจือปนด้วยกิเลส ส่วนความรู้ที่เกิดด้วยปัญญา เป็นความรู้ที่จริงแท้ปราศจากกิเลส