ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เรื่อวของชีวิตตอนที่ ๙

 การพึ่งตนเองด้านสุขภาพในครอบครัว 

เอาเรื่องในครอบครัวผมมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องการพึ่งตนเองด้านสุขภาพ.....ในบ้านผมที่อยู่ด้วยกันมีผมซึ่งเป็นคุณตาของหลานสองคนมีคุณยายซึ่งเป็นภรรยาผมและมีพ่อและแม่ของหลาน ๆ ทั้งสองตอนที่หลาน ๆ ยังเล็ก ๆ อยู่ เป็นธรรมดาที่เด็กย่อมมีการเจ็บป่วยเป็นไข้บ่อยแทบจะทุกเดือน เดือนละครั้งสองครั้งเป็นอย่างน้อย ทุกครั้งที่หลาน ๆ เริ่มเป็นไข้พ่อกับแม่เขาจะรีบพาไปหาหมอทันที่บางครั้งต้องนอนโรงพยาบาลถึง ๓-๔ วันและเป็นโรงพยาบาลเอกชนผมเห็นบิลค่ารักษาพยาบาลแล้วปวดหัว เราคนแก่ไม่กล้าแนะนำอะไรมาก เดี่ยวเขาจะหาว่าคนแก่หัวโบราณ.....แต่ผมเป็นคนแก่ที่ใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลายังสามารถตามทันโลกที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาคิดว่าคนหนุ่มสาวบางคนเสียอีกที่ยังยึดติดกับสิ่งที่มันOUTไปแล้วเด็กรุ่นใหม่วัยสามนิ้วเสียอีกยังมีความคิดที่ก้าวหน้ากว่าคนรุ่นก่อน ๆ อีกหลายคน ผมเริ่มเตรียมตัวที่จะเป็นคนแก่เมื่อตอนอายุประมาณ ๕๕ ปีย้อนหลังไปเมื่อประมาณ ๒๕ ปี มาแล้วผมเริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต จนสามารถใช้สื่ออินเตอร์เน็ตและการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้หลากหลายพอสมควร จึงสามารถติดตามหาความรู้จากสื่อออนไลน์มาตลอดแม้กระทั้งพระไตรปิฏกที่อยู่ในตู้ล็อกกุญแจแน่นหนาอยู่ตามวัดเดี่ยวนี้หาอ่านตามออนไลน์ได้สบายผมก็ได้มีโอกาสได้ค้นคว้าหลักธรรมจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าศาสนาพุทธ์ที่เป็นพิธีกรรมในบ้านเราน้ันที่แท้ก็เป็นพราหมเป็นผีหาใช่หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ไม่.....ผมเจอบทความดี ๆ ด้านสุขภาพด้านสิ่งแวดล้อมแม้กระทั้งด้านสังคมผมมักจะนำมาแชร์ในไลนกลุ่มครอบครัวเป็นประจำเป็นการสื่อสารกันในครอบครัวจึงทำให้เกือบทุกคนในครอบครัวสนใจในความคิด การพึ่งตนเองด้านสุขภาพ ด้านสิ่งแวดล้อมตลอดจนด้านสังคมเราจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมาตลอดจึงทำให้บางครั้งเมื่อหลาน ๆ ป่วยพวกเขาจะให้ความสนใจมาให้คุณตาช่วยดูหน่อยว่าหลานป่วยเป็นอะไร ทีนี้คุณตาก็ได้โอกาสไปจับเนื้อจับตัวหลานเพื่อตรวจว่าเป็นไข้หรือเปล่า บางครั้งก็แค่เป็นไข้ต่ำ ๆ ก็ให้เช็ดตัวสักพักไข้ก็จะลดแล้วคุณตาก็จะขูดผิวหนังเบา ๆ (กัวซา) เพื่อกระตุ้นการระบายพิษไข้ในตัวแล้วคุณตาก็จะหายาไทยที่สกัดจากใบย่านาง ใบอ่อมแซบ ใบเตยหอมมาช่งกับน้ำให้ดื่มไข้ก็จะลดนอนหลับตื่นเช้าก็ไปโรงเรียนได้ บางครั้งถ้าไข้มากตื่นเช้ายังไม่หายผมจะใช้ใบฟ้าทะลายโจร บดอัดเม็ดให้ทานก่อนอาหาร ในที่สุดผมจึงกลายเป็นหมอคุณตามาตลอดร่วมสิบกว่าปีแล้วและตลอดเวลาสิบกว่าปีมานี้คนในบ้านป่วยไปหาหมอโรงพยาบาลน้อยมากนอกจากไปหาหมอฟันและไปตรวจสุขภาพประจำปี ส่วนคุณตาเคยป่วยเป็นไข้เมื่อไรแทบจำไม่ได้เพราะแค่รู้สึกว่ากำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นก็รีบหาฟ้าทลายโจรมารับประทานครั้งละสองเม็ดก่อนอาหารแค่นี้ก็ขจัดเชื้อหวัดไม่ว่าหวัดเล็กหรือหวัดใหญ่ก็ใช้อย่างนี้มาตลอด.......ที่เล่ามานี้เพื่อจะบอกว่าภูมิปัญญาแบบตะวันออกหรือภูมิปัญญาไทยเรานี้มีของดี ๆอยู่มากถ้าคนไทยเราไม่ลืมรากของตนเองก็จะพึ่งตนเองได้ไม่ไปหลงไหลสิ่งที่ฝรั่งเขาปลูกฝังหรือฝังหัวให้เราเชื่อเขา แล้วเราก็ทรยศต่อรากและภูมิปัญญาของตัวเองไปหมด เมื่อเรารับความรู้จากตะวันตกเข้ามาเราต้องนำมาประยุคต์ให้เข้ากับภูมิปัญญาของตัวเองที่มีอยู่จึงจะได้ชื่อว่ามีปัญญาพึ่งตัวเองได้....เช่นกันพวกเราประชาชนคนเดินดินเมื่อถูกปลูกฝังหรือฝังหัวให้เชื่อนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจบารมีเพื่อง่ายในการปกครองเราไม่ค่อยคิดพึ่งตนเองคิดแต่จะพึ่งอำนาจของคนชั้นสูงมาตลอดประชาชนเราจึงพึ่งตนเองไม่ค่อยได้และผู้บริหารประเทศก็พึ่งตนเองไม่ค่อยได้ต้องพึ่งอำนาจอื่น ๆและจักรวรรดินิยมตะวันตก...แล้วเมื่อไรประชาชนเราจะพึ่งตนเองได้เสียที่....!!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นิทานสุภาษิตจีนเรื่อง ลุงโง่ย้ายภูเขา

   มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่า ลุงหยูกง แกตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่หลังภูเขาสองลูกชื่อว่า ไท่เชียงและหวังหวู ภูเขาสองลูกนี้ สูงนับพัน เริน กว้างใหญ่ถึง 700 ตารางลี้ ทุกคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังเขาทั้งสองลูกนี้ ไม่สะดวกในการเดินทางเพราะภูเขามาปิดกันความ สะดวกสบาย แต่ด้วยความเคยชินไม่มีใครสนใจต่ออุปสักข้อนี้ ลุงหยูกงแกก็ใช้ชีวิติไปตามปกติเหมือนคนทั่วไป หรือแกจะคิดถึงอุปสักข้อนี้ อยู่บ้างตามนิทานก็ไม่ได้บันทึกไว้ และอีกข้อหนึ่งที่นิทานไม่ได้บันทึกไว้ก็คือไม่เคยปรากฏว่าแกเคยเป็นกำานัน ตามนิทานจึงไม่เรียกแกว่า “ลุง กำานัน  หยูกง”   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งแกเกิดดำาริขึ้นในใจว่า”เราก็ทำาอะไรต่อมิอะไรมาในชีวิติมากมายถูกบ้างผิดบ้างเป็ นธรรมดาของคน สามัญทั่วๆไป แต่ครั้งนี้เราได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่า ไอ้ภูเขาสองลูกนี้ที่ขวางความเจริญของหมู่บ้านเราอยู่นี้ จะต้องขุดย้ายออกไป ไม่ให้เป็นอุปสักขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านต่อไปอีก ว่าแล้วแกก็ชวนลูกหลานและเพื่อนบ้านที่เห็นด้วยกับแกให้มาช่วยกันขุดย้าย ภูเขา ยังมีเพื่อนบ้านของลุงหยูกงคนหนึ่งชื่อว่า ลุงจือโช่ว เม

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน

ภาวะมลพิษจากโรงกลั่นน้ำมัน ( ผศ.ดร. สุปราณี แก้วภิรมย์) เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียมนั้น ปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบที่ค้นพบจะถูกนำมากลั่นเสียก่อน การกลั่นน้ำมันดิบก็คือการย่อยสลายส่วนประกอบของปิโตรเลียมออกเป็นส่วนต่างๆ ที่แตกต่างกันมากมาย เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเตา ถ่านโค้ก ขี้ผึ้ง ยางมะ-ตอย และแก๊สหุงต้ม เป็นต้น   โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด โรงกลั่นน้ำมันบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) และ โรงกลั่นน้ำมันบริษัทระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) โรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยอง และเป็นที่น่าสังเกตว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นดังกล่า

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)

พุทธคือวิถีแห่งปัญญา (ตอนที่ ๒)   ถ้าหากจะต้องจัดลำดับใหม่ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มรรคที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการดังกล่าวก็คือ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขาที่เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญาสิกขา สิกขา   ตามความหมายของพุทธนั้น คือ กระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ที่ผ่านการปฏิบัติและได้ประจักษ์แจ้งจริง ส่วน อธิ นั้นหมายถึง ใหญ่ หรือสำคัญ ดังนั้น อธิและสิกขาก็คือการเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปของศีล จิตต (สมาธิ) และปัญญา อันเป็นลักษณะพลวัตของไตรสิกขาดังกล่าว หรือกล่าวโดยย่อก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ องค์ประกอบสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการพัฒนายิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อการบรรลุนิพพานนั่นเอง จึงจำแนกได้ดังนี้      ดังนั้นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะยกระดับจิตของมนุษย์ก็คือปัญญาซึ่งเป็นจุดเน้นที่สำคัญที่สุดของพุทธธรรมและเนื่องจากปัญญามีความสำคัญที่สุดกระบวนการสร้างปัญญาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งจุดนี้เป็นจุดที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มนุษยนิยม        เพื่อการเข้าใจที่ชัดเจนของกระบวนการยกระดับหรือสร้างเสริมทางปัญญา  จะต้องหันกลับมาศึกษาองค์ประกอบของมนุษ